posttoday

แม่... เป็นได้มากกว่าที่คิด

12 สิงหาคม 2555

คงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของผู้หญิงที่เราเรียกว่า “แม่” และทุกคนต่างรู้กันดี ว่า คำๆ นี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะการได้เป็น “แม่”

โดย...พญ.นัยนา ณีศะนันท์

คงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของผู้หญิงที่เราเรียกว่า “แม่” และทุกคนต่างรู้กันดี ว่า คำๆ นี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะการได้เป็น “แม่” ถือเป็นหน้าที่ที่พิเศษที่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาส และก็ใช่ว่าเมื่อมีโอกาสแล้วทุกคนจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะในสังคมที่ต้องดิ้นรน “แม่” หาได้เป็นบทบาทหน้าที่เดียวของผู้หญิงยุคใหม่ คุณแม่หลายคนยังต้องทำงานมีบทบาทการเป็นหัวหน้า ลูกน้อง นายจ้าง ลูกจ้าง และหลายครั้งที่บทบาทอื่นๆ เหล่านั้นกลบบทบาทสำคัญของความเป็น “แม่” เสียหมดสิ้น

คุณแม่หลายคนคิด ว่า หน้าที่ของแม่จริงๆ แล้วก็แค่ดูแลลูกให้ดีอย่าให้เจ็บป่วย แต่จริงๆ แล้วหน้าที่ของแม่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากค่ะ เพราะว่าแม่คือผู้สร้างโลก คำว่าสร้างโลกในที่นี้ ก็คือ สร้างคนดีให้กับโลก ให้กับสังคม คนที่เป็นแม่มีโอกาสที่จะอบรมสั่งสอนให้คนๆ หนึ่งเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพให้แก่สังคมได้ คุณแม่บางท่านคิด ว่า หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของคุณครูในโรงเรียน โดยลืมไปว่าพ่อแม่คือครูคนแรกของลูก และเด็กๆ เรียนรู้ได้ดีจากการเลียนแบบพฤติกรรมของคนรอบข้าง ซึ่งแม่คือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กๆ ที่สุด พฤติกรรมของคุณแม่จึงมีผลต่ออารมณ์ พฤติกรรมและพัฒนาการของลูกมาก ความสำคัญของการเป็นแม่จึงอยู่ตรงนี้ด้วย

มีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า พฤติกรรมของแม่ส่งผลต่อตัวตนของลูกทั้งในด้านพฤติกรรมอารมณ์และความคิด เริ่มตั้งแต่เรื่องง่ายๆ เช่น การกล่าวขอบคุณหรือขอโทษ หากคุณแม่สอนลูกแต่ไม่เคยทำให้ลูกเห็นเลย ก็ยากมากที่เด็กจะมีนิสัยกล่าวคำดังกล่าว ทางกลับกันแม้ว่าคุณจะไม่เคยบอกให้ลูกขอโทษหรือขอบคุณแต่ทำให้ลูกเห็นสม่ำเสมอๆ เด็กๆ ก็จะเลียนแบบพฤติกรรมนั้น และมีโอกาสมากที่นิสัยนี้จะติดตัวไปจนโต

นอกจากนี้ เรื่องยากๆ อย่างเช่น การจัดการกับความเครียด เด็กๆ ก็เรียนรู้จากแม่ด้วยเช่นกัน หากคุณแม่แสดงออกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เด็กๆ ก็จะเรียนรู้พฤติกรรมเหล่านั้น และที่ควรต้องระวังก็คือ เมื่อคุณแม่เครียดและแสดงพฤติกรรมแง่ลบ เช่น ตวาด หงุดหงิด ส่งเสียงดัง แม้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะไม่เกี่ยวกับลูกเลยก็ตาม แต่หากเด็กๆ เห็น ก็มีโอกาสที่เขาจะคิดว่าสาเหตุของอารมณ์เหล่านั้นเกิดจากตัวเขา และนี่ก็อาจกลายเป็นบาดแผลในใจติดตัวเขาไปจนโตได้

แม่ยุคใหม่เป็นได้มากกว่าที่คิด

ด้วยภาระหน้าที่ซึ่งมากขึ้นกว่าเดิมของผู้หญิงยุคใหม่ ทำให้ทุกวันนี้มีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องทำงานและมีเวลาให้ลูกน้อยลง เด็กๆ อยู่กับพี่เลี้ยงมากขึ้น จนเกิดคำถามว่าแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาให้ลูก จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้อย่างไร จากประสบการณ์หมอพบคนไข้หลายคนที่แม่ใช้เวลาอยู่กับลูกทั้งวัน แต่ลูกก็ยังมีปัญหาไม่ว่าด้านพัฒนาการหรืออารมณ์ ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณอยู่กับลูกนานแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่กับลูกอย่างไรต่างหาก คุณแม่บางคนอยู่กับลูกทั้งวัน แต่ปล่อยให้ลูกดูแต่โทรทัศน์ ไม่เคยพูดคุยกับลูกจนลูกมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า หรือบางคนคุณแม่นั่งเล่นโทรศัพท์ส่วนลูกก็เล่นแต่วิดีโอเกม

แม้อยู่ในห้องเดียวกันแต่ไม่มีการสื่อสารกันช่องว่างก็มากขึ้น กว่าจะรู้อีกทีลูกก็มีปัญหาเสียแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณแม่ยุคใหม่ต้องทำงานมากขึ้น แต่หากว่าจัดสรรเวลาแต่ละวันอย่างมีคุณภาพมีเวลาให้ลูกอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ก็อาจดีกว่าการอยู่กับลูกทั้งวันแต่ไม่สื่อสารกันเลย มีบางตำราที่บอกว่า กอดลูกเพียงแค่ 8 วินาทีก็ทำให้เด็กๆ รับรู้ถึงความรักและสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้ลูกได้ แต่ก็ต้องทำควบคู่ไปกับการเป็นตัวอย่างที่ดี

ลดการแสดงพฤติกรรมแง่ลบ เพียงเท่านี้ก็ปลูกรักลงในใจลูกได้ คุณแม่ยุคใหม่ที่ต้องทำงานจึงอย่าน้อยใจที่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก เพราะสิ่งที่เด็กๆ ต้องการอาจไม่ใช่การใช้เวลาเหลือเฟือในบ้านเดียวกันแต่ต่างคนต่างอยู่ แต่เป็นการอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานความรักความเข้าใจและการใช้เหตุผล ที่ไม่ต้องเห็นหน้ากันตลอดเวลา แต่รับรู้ได้ว่าพ่อแม่รักเขาอย่างเต็มหัวใจต่างหาก

วันแม่จึงไม่ใช่เพียงวันที่ลูกๆ ต้องระลึกถึงพระคุณแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสดีที่ “แม่” จะหันกลับมาตระหนักถึงความสำคัญของการเป็น “แม่” อีกด้วย


 

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2