“ชีวิตคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงทุก 7 ปี”
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
ชีวิต(รัก) คือ การวิ่งมาราธอน
รัก 7 ปี ดี 7 หน (Seven Something)
ประเทศ ไทย
ประเภท โรแมนติก
เรตติ้ง ท. เหมาะสำหรับผู้ชมทั่วไป
ความยาว 90 นาที
กำกับ จิระ มะลิกุล อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ปวีณ ภูริจิตปัญญา
นำแสดง จิรายุ ละอองมณี ซันนี่ สุวรรณเมธา คริส หอวัง นิชคุณ หรเวชคุณ และสู่ขวัญ บูลกุล
ประโยคสั้นๆ แต่กินความหมายลึกซึ้ง จากบทความชิ้นหนึ่งในหนังสือชื่อ Wanich 60.5 ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ นักเขียนซีไรต์ผู้ล่วงลับ ซึ่งอธิบายว่าตามหลักโหราศาสตร์ ชีวิตคนเรานั้นโคจรไปด้วยการกำกับของดวงดาว โดยมีดาวมฤตยูซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงคอยกำหนด ดาวดวงนี้จะย้ายเปลี่ยนราศีไปในทุก 7 ปี
ทั้งหมดกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ ในวาระฉลองครบรอบ 7 ปี ค่ายหนังอารมณ์ดี จีทีเอช
รัก 7 ปี ดี 7 หน ภาพยนตร์ฟีลกู้ดที่นำเสนอเรื่องราวความรักในแต่ละช่วงวัย จากฝีมือผู้กำกับ 3 รุ่น 3 สไตล์ เรื่องแรก “14” พูดถึงรักในวัยเรียนอันสดใสซาบซ่า หวือหวาและไร้เดียงสาไปพร้อมกับตามแบบฉบับปั๊ปปี้เลิฟ เมื่อโคจรมาเจอกับยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ความรักของคนสองคนจึงไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป
เรื่องที่สอง “21/28” อดีตคู่รักที่ต้องหวนกลับมาพบกันอีกเพราะความจำเป็น ประสบการณ์อันเจ็บปวดรวดร้าวในอดีต ก่อกำแพงที่มองไม่เห็นมากั้นขวางความสัมพันธ์ของทั้งคู่อย่างมิอาจก้าวไปข้างหน้าได้โดยราบรื่น
เรื่องสุดท้าย “42.195” สาวใหญ่ผู้ประสบช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดในชีวิต ได้มาพบกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่จะก้าวเข้ามาพาเธอข้ามผ่านมรสุมครั้งนี้ด้วยการวิ่งมาราธอน
ไฮไลต์ของทั้งสามเรื่องอยู่ที่การรวมเอาดาราดังของค่ายจีทีเอชมาไว้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่นักแสดงนำ นักแสดงสมทบ จนถึงนักแสดงรับเชิญ
เริ่มจากพระเอกรุ่นเล็ก เก้าจิรายุ ละอองมณี รับบทป่วน เด็กหนุ่มวัย 14 ผู้ติดโซเชียลเน็ตเวิร์กงอมแงม ขยันถ่ายรูป อัพสเตตัสให้เพื่อนๆ มากดแชร์กดไลค์ แม้กระทั่งเมื่อได้คบหาดูใจกับสาวน้อยดาวโรงเรียน มิลค์ (สุทัตตา อุดมศิลป์) ความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเรื่องส่วนตัว กลับกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ เพราะความบ้าคลั่งไม่รู้จักยั้งคิดของเขาแท้ๆ
กำกับโดย ปวีณ ภูริจิตปัญญา หน้าใหม่ฝีมือดี จุดเด่นคือวิธีการนำเสนอด้วยรูปแบบแปลกใหม่ มีสีสัน มีลูกเล่น โดนอกโดนใจยิ่งนัก ทั้งการลำดับภาพ ตัดต่อ รวมถึงบทภาพยนตร์ที่สะท้อนวิถีชีวิตวัยรุ่นในสังคมปัจจุบันได้อย่างเห็นภาพแจ่มชัด
เรื่องถัดมา ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ประกบ คริส หอวัง ฉายภาพความรักอันขมขื่นนอกจอของอดีตซูเปอร์สตาร์ผู้โด่งดังจากบทพระนางในหนังร้อยล้าน แหม่ม นางเอกตกอับวัย 28 บากหน้ากลับมาหาจอน แฟนเก่า ซึ่งผันตัวเองมาเป็นผู้ดูแลสัตว์น้ำในสยาม โอเชี่ยน เวิร์ล อ้อนวอนขอให้เขากลับมารับบทคู่ในหนังภาคต่อด้วยกันอีกครั้ง เพื่อกรุยทางสู่ตำแหน่งนางเอกยอดนิยมเหมือนเดิม
ปิ๊งอดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ผู้กำกับมือทองจากเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ กลับมาทำในสิ่งที่เจ้าตัวถนัด นั่นคือถ่ายทอดมุมมองความรักของคนหนุ่มสาววัยทำงาน ช่วงเวลาที่อยากมีรักแท้อันสดสวยเพอร์เฟกตามอุดมคติ เล่าเรื่องแบบแฟลชแบล็ก สลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของความรัก การแตกหัก หวนคืนมาพบกัน และจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ต้องเอ่ยชมสาวคริสเป็นพิเศษ หล่อนตีบทแตกกระเจิงเสียจนคนดู (สาวๆ) แทบควักผ้าเช็ดหน้าน้ำตาออกมาเช็ด พลางเอาใจช่วยให้เธอสมหวังไปด้วย
เรื่องสุดท้าย ผลงานกำกับชิ้นแรกในรอบ 7 ปีของเก้งจิระ มะลิกุล (15 ค่ำเดือน 11, มหา’ลัยเหมืองแร่) จับเอาเรื่องราวของชีวิตและการวิ่งมาราธอนมาเปรียบล้อกัน เมื่อผู้ประกาศข่าวสาววัย 40 (สู่ขวัญ บูลกุล) กำลังเผชิญมรสุม หมดสิ้นกำลังใจในการมีชีวิตต่อ หลังจากสูญเสียสามีสุดที่รักไปในอุบัติเหตุเครื่องบินตก
จนได้พบกับนักวิ่งหนุ่มรูปหล่ออายุห่างกัน 10 ปี (นิชคุณ หรเวชกุล) ชีวิตของเธอเริ่มกลับมามีแสงสว่าง เปล่งปลั่งสดชื่นอีกครา ทุกๆ เช้าเขาและเธอนัดกันวิ่งออกกำลังกาย ฟิตซ้อม เพื่อเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันวิ่งมาราธอน ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เธอค้นพบความหมายแท้จริงของชีวิต
ตัวบทภาพยนตร์มีสัญลักษณ์มากมายแฝงไว้ให้ขบคิดตาม ปรัชญาคมๆ (เอาไปตั้งเป็นสเตตัสเฟซบุ๊กได้สบายๆ) ที่สอดแทรกไว้ตลอดทั้งเรื่อง ไดอะล็อกสั้นๆ แต่โดนใจ ติดอย่างเดียวตรงบทบรรยายที่ใช้เสียงพากย์ของหญิงสาวมีอายุ ใครบางคนบ่นว่าคล้ายนั่งฟังรายการสารคดีเฉิ่มๆ ในวิทยุ
คู่พระนางใหม่แกะกล่อง นิชคุณนั้นหล่อจริงหล่อจัง มีเสน่ห์เสียจนสาวๆ มิอาจละสายตาจากหน้าจอไปได้เลย ส่วนนางเอกใหม่อย่างสู่ขวัญก็แสดงได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจริตจะก้านเย่อหยิ่งถือตัวของสาวแก่ที่ตกหลุมรักเด็กหนุ่มแต่ไม่ยอมรับ หรืออารมณ์โศกเศร้าร่ำไห้ เธอก็ปลดปล่อยฝีไม้ลายมือมาอย่างเต็มที่สมเป็นมืออาชีพ
หากเปรียบชีวิตและความรักเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอน ช่วงแรกคงเป็นเวลาความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หัวใจมุ่งมั่นเปี่ยมด้วยความหวังเจิดจ้า พอมาถึงครึ่งทางอาจเริ่มเหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรง ท้อแท้ จนรู้สึกแวบขึ้นมาว่าจะยอมแพ้ออกจากการแข่งขัน หรือกัดฟันวิ่งต่อไปดี
โค้งสุดท้าย หลังผ่านอุปสรรคขวากหนามจนร่างกายและจิตใจเข้าที่เข้าทาง ความร้อนแรงของแดดกล้า ความเมื่อยล้าของร่างกายเบาบางลง เมื่อนั้นสายตาก็พลันพบกับความงดงามสองข้างทางชัดเจนยิ่งขึ้น
ในที่สุดก็เราจะได้พบกับความหมายแท้จริงที่รออยู่หลังเส้นชัย


