posttoday

กว่าจะมาเป็นผู้ดูแลความงาม ‘รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์’

02 สิงหาคม 2555

“รัส คือ รัศมี เปล่งประกาย ส่วน ภูมิ คือ แผ่นดิน หรือ ปัญญา รวมกันแล้วก็คือ แผ่นดิน หรือปัญญาที่เรืองรอง นั่นเองครับ”

โดย... ณัฐพล ช่วงประยูร / ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

“รัส คือ รัศมี เปล่งประกาย ส่วน ภูมิ คือ แผ่นดิน หรือ ปัญญา รวมกันแล้วก็คือ แผ่นดิน หรือปัญญาที่เรืองรอง นั่นเองครับ” หนุ่ม รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามสายตรงระดับอาจารย์ เริ่มเรื่องตัวตนของเขาให้ฟังจากชื่อ

หมอหนุ่มเกิดและโตที่กรุงเทพฯ คุณพ่อคุณแม่เป็นอาจารย์ รับราชการทั้งคู่ พอมีรายได้ก็เปิดร้านขายยา 2 สาขา ในบรรดาพี่น้อง 6 คน ชาย 3 หญิง 3 เขาเป็นลูกชายคนเล็ก นับแล้วห่างกับคนโต 10 ปี

“เราเกิดมาในบ้านที่มีคนเยอะ มีอาม่า อา พี่เลี้ยงอีก ฉะนั้นอาจจะได้เรื่องของการเรียนรู้ บุคลิก นิสัย การปรับเข้ากับคนหลายๆ คนที่แตกต่างกัน เราได้พัฒนาความคิด การพูดจา การปรับตัวเข้ากับสังคม กับคนโตกว่าหมดเลย

หลังจากที่ผมเรียนสวนกุหลาบถึงมัธยม 5 ก็สอบเทียบติด ผมผสมผสานมาจาก 2 สาย บางคนที่อยู่สายวิทย์ก็จะไม่ค่อยชอบสายตัวเอง ส่วนสายศิลป์ก็จะไม่ชอบฝั่งตรงข้าม แต่ผมรู้สึกว่าได้วิชาการจากวิทย์ ขณะเดียวกันเราก็มีหัวทางด้านศิลปะ จึงชอบวาดรูป ผมเชื่อว่าเป็นพรสวรรค์ มีหัวทางด้านนี้ ทำได้โดยไม่ต้องเรียน แต่ทุ่มเทกับวิชาการด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า ค่านิยมพ่อแม่ก็อยากให้เป็นหมอ อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่แข่งขันกันเรียนพิเศษ อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน

ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยติด คุณแม่ว่าติดแล้ว...ก็ไป เลยไปเรียนหมอที่สงขลานครินทร์ หาดใหญ่ 6 ปี แล้วค่อยไปใช้ทุน จากนั้นค่อยไปต่อเฉพาะทาง ชีวิตช่วงเรียนรู้สึกดีอิสระ ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบที่ต้องอยู่ไกลบ้านด้วย ตั้งแต่อายุ 16 แต่จริงๆ แล้วหาดใหญ่ก็มีตัวเมืองที่เจริญไม่ได้ต่างจากกรุงเทพฯ มากครับ พูดจาซื่อๆ กว่า ดูเป็นแบบชาวบ้านกว่า บางวิชาต้องออกไปสัมผัสกับชุมชนชนบท ให้นักศึกษาไปเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งอาจจะไปชุมชนนี้ อีกกลุ่มไปชุมชนหนึ่ง ทำโปรเจกต์ ชาวบ้านมีพฤติกรรมอย่างไรเสี่ยงต่อโรคไหม แล้วก็จะมีแพลนจะทำยังไงให้เขาหายจากโรคอะไรอย่างนี้ อันนี้คือเขาเรียกเป็นวิชา Commed (Community Medicine) หรือ เวชศาสตร์ชุมชน

กว่าจะมาเป็นผู้ดูแลความงาม ‘รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์’

 

ในด้านวิชาการเราก็หนึ่งด้วยวิชาการค่อนข้างเข้มข้น ไม่แพ้กรุงเทพฯ แถมได้สัมผัสกับท้องถิ่น นักศึกษาที่นั่นจะทำได้คล่องแคล่วทีเดียว ได้รู้จักกับครูบาอาจารย์ที่ดูแลเอาใจใส่เราดี ส่วนใหญ่เขาก็เป็นผู้บุกเบิก และสังคมสิ่งแวดล้อมก็ดี ผมปั่นจักรยานไปเรียน ออกกำลังกายวิ่งรอบตรงอ่างน้ำ หรือบางทีก็พากันออกไปที่ชายหาดสมิหลาสัมผัสธรรมชาติ อยู่ที่นั่นเหมือนจะนานมาก แต่พอเรียนจริงๆ ก็ผ่านไปเร็ว

ในช่วงที่เรียน 6 ปี ก็จะมีตั้งแต่หมอที่ใช้ยา หมอที่ผ่าตัดอย่างเดียว หมอเด็ก ด้วยบุคลิกเราเองเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็อยากจะเป็นหมออายุรกรรม แต่ตอนที่อยู่ปีที่ 5 มันจะมีแผนกผิวหนัง ซึ่งถ้านับใน 4 วอร์ดใหญ่ของกลุ่มหมอแล้ว อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในอายุรกรรม ผมก็รู้สึกว่าชอบ จากนั้นเราก็เทิร์นไปอยู่ตรงสถาบันโรคผิวหนังแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ หลังจากสัมผัสมาแล้วก็ยิ่งรู้สึกยิ่งชอบ คนที่ไม่ได้สัมผัสด้านผิวหนังมาจะวินิจฉัยโรคไม่ได้ เราต้องมองให้ออกถึงระดับลึกมากๆ บางโรคมีโอกาสเจอได้น้อยมากหนึ่งในล้านคนทั่วโลก โรคผิวหนังในโลกนี้มีเป็นล้าน แบ่งกลุ่มย่อยแยกตามระบบของเซลล์ในร่างกายและวิทยาศาสตร์

จากนั้นก็มาโฟกัสด้านความงาม เพราเราชอบศิลปะมาแต่ต้น ไม่เคยมองด้านพาณิชย์เลย เพราะชอบส่วนตัว แต่สายผิวหนังเป็นอันที่เข้ายาก เพราะทุกคนก็อยากเรียน เพราะเมื่อเทียบกับอย่างอื่นๆ อาจจะดูวุ่นวายกว่า แต่เขารับน้อยมาก เราไม่มีเส้นสาย แต่พอใช้ทุนจบ ก็เลยไปกรอกใบสมัครสายผิวหนังดูที่รามาฯ ก็จะถูกอาจารย์ 67 ท่าน เรียกสัมภาษณ์พร้อมกัน แล้วเราก็เป็น 1 ใน 2 คนที่ได้ในปีนั้น แล้วก็ฝ่าฟันทุกอย่างเรียนจนจบ”

หลังจากเขานั้นก็ไปเรียนต่อด้านเลเซอร์ที่อเมริกา (Certificate In cosmetic And Laser ที่ Mt. Sinai Medical Center) และก็ปรับประยุกต์เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆ ให้เป็นสไตล์ของเราเอง จากนั้นก็มาประจำที่ศูนย์ผิวหนังที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งหลายปี ค่อยมาเริ่มงานในคลินิกของตัวเอง ชื่อ “อาร์เอฟดีไอ บาย รัสมิ์ภูมิ” จากที่บ้านก่อน และก็เปิดสาขาอีก 2 แห่ง ล่าสุดที่โรงแรม ปทุมวัน ปริ๊นเซส ก็บริหารจัดการเวลาไปในแต่ละนัดของการดูแลความงามด้วยเลเซอร์ โบทอกซ์ และฟีลเลอร์ ตลอดจนเป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายความรู้ด้านการแพทย์ผิวหนังอยู่เป็นประจำทุกเดือน

กว่าจะมาเป็นผู้ดูแลความงาม ‘รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์’

 

นอกจากจะได้เครดิตในนามบัตรว่า “อนุมัติ บัตร ตจวิทยา (ผิวหนัง) คอสเมติก และเลเซอร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” และเป็น “บอร์ด ออฟ เดอร์มาโทโลจี” รวมถึงมีคลินิกผิวหนังของตัวเองแล้ว ในเวลาว่างของเขาก็ยังเป็นเหมือนหนุ่มปกติคนหนึ่งในสังคม เขาดูทีวี ฟังเพลงในรถ อ่านหนังสือการ์ตูน หรือดูเรื่องลึกลับและข่าว มีไปสังสรรค์ทางสังคมบ้าง หรือไม่ก็รวมรุ่นเพื่อนเก่าๆ ตามโอกาส นานๆ จะหาเวลาเดินทางท่องเที่ยวสักครั้ง ด้วยภาระหน้าที่ในปัจจุบันแน่นเอี้ยด ในแง่ของโลกเทคโนโลยี “ผมว่าทุกวันเราต้องเกี่ยวข้องกับมัน โซเซียลเน็ตเวิร์ก บีบี ซัมซุงกาแล็คซี ไอโฟน โน้ตบุ๊ก ผมมีทุกเครื่องเลยเหรอครับ (หัวเราะ) ถามว่าจำเป็นกับชีวิตพื้นฐานไหม ... ไม่จำเป็นนะ ปกติชีวิตเมื่อก่อนเราไม่มีมันก็อยู่กันได้ เรายังใช้ชีวิตอยู่ได้ กินได้ นอนได้ แต่ถ้าต้องติดต่อสื่อสารน่ะ จำเป็นแน่นอนครับ

อย่างคนต่างจังหวัดในชนบท เขามีความสุขด้วยอย่างอื่น แต่เรื่องการอนาคตที่เราต้องก้าวต่อไปเรื่องของการคอนเนกชัน เรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ การสื่อสารนั้นก็มีความสำคัญในยุค เพราะโลกมันก้าวต่อไปไม่หยุดแล้วเทคโนโลยีมันก้าวต่อไปตลอดเวลา”

แกดเจ็ตของเขา

แมคบุ๊ค – ผมต้องใช้ต้องทำงานเวลาไปบรรยายการพรีเซนต์ มันสวยกว่าคอมพ์ทั่วไป

ไอโฟน บีบี ซัมซุงกาแล็คซี พกไปไหนตลอดเวลาครับ เพราะเราต้องสื่อสาร นัดหมาย คุยธุระ และก็มีแอพพลิเคชันพวกโซเชียลต่างๆ เวลานั่งรถมีคนขับก็จะเป็นเวลาที่ต้องจัดการกับเอกสารบน 3 เครื่องนี้

เทคโนโลยีด้านการแพทย์ – เครื่องมือก็จะมีเทคโนโลยีหรือเทคนิคต่อๆ ไปอยู่แล้ว ทุกวันมีเครื่องใหม่ออกมาเรื่อยๆ ต้องมีโน้นมีนี่ มีการพัฒนาออกมาเพื่อให้ใช้กับคนให้ตรงวัตถุประสงค์ และดีที่สุดเสมอ

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”