posttoday

‘30 แก่เกินแต่ง’ ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ

21 กรกฎาคม 2555

ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่สภานิติบัญญัติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งในยามปกติ

โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์

ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่สภานิติบัญญัติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งในยามปกติจะทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายของประเทศรวมทั้งป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาคการเมือง จะนัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงทางออกของปัญหาร้ายแรงที่กำลังคุกคามสังคมของประเทศอย่างหนัก

เพราะการประชุมนัดฉุกเฉินครั้งนี้ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณให้เห็นว่าทางยูเออีกำลัง “เอาจริง” กับภัยอันตรายชนิดใหม่ในสังคม ซึ่งร้ายแรงและน่ากลัวจนถูกยกให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ไปเสียแล้ว

และแล้วพอการประชุมเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสมาชิกสภา ซึ่งล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งเครียด และความยุ่งเหยิงของโต๊ะประชุมที่เต็มไปด้วยเอกสารกองโต บรรดานักข่าวทั้งสื่อท้องถิ่นและต่างชาติที่เดินทางมาเกาะติดการประชุม ต่างต้องอึ้งกันเป็นแถว หลังประธานสภาลุกขึ้นถามที่ประชุมว่า “ทำไมผู้หญิงอายุเกิน 30 ถึงแก่เกินแต่ง!”

‘30 แก่เกินแต่ง’  ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ

ได้ยินเช่นนี้แล้ว หลายคนคงคิดว่าท่านประธาน “ปล่อยมุข” เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้นขึ้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากที่ประชุมเลย เพราะคำถามของท่านประธานก็คือหัวข้อการประชุมนั่นเอง!

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนอาจไม่ทราบว่าสังคมยูเออีกำลังเผชิญปัญหา “สาวทึนทึกล้นสังคม”

เพราะหากพินิจพิจารณาสถิติต่างๆ ที่มีการรวบรวมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็จะพบว่าปัจจุบันมากกว่า 50% ของผู้หญิงยูเออีที่มีอายุเกิน 30 ปีนั้น เข้าข่ายเป็น “หญิงโสด” ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีก่อนถึงเท่าตัว

แต่ที่น่าช็อกกว่านั้นก็เห็นจะเป็น “เหตุผล” ที่ทำไมผู้หญิงเหล่านี้ถึงไม่ได้แต่งงาน ซึ่งก็คือ เพราะผู้ชายยูเออีมองว่าผู้หญิงอายุ 30 อัพถือว่า “แก่เกินแต่ง” ซะแล้ว

หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปี ไม่ต้องลุ้นสละโสดแล้ว เพราะแค่ได้ยินเลข 3 ปุ๊บ หนุ่มๆ ยูเออีก็ไม่คิด แม้แต่จะหันมาเหลือบมองเลย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะนี่คือ “ค่านิยม” ในสังคมยูเออีที่ถูกฝังรากลึกมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปเสียแล้ว

เพราะต้องไม่ลืมว่า จำนวนหญิงที่ครองตัวเป็นโสดที่เพิ่มขึ้นก็ย่อมหมายถึงจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงนั่นเอง ซึ่งก็คือเหตุผลเดียวที่ทางสภานิติบัญญัติของประเทศจำเป็นต้องเรียกประชุมฉุกเฉิน

ทว่าผลกระทบที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในสังคมยูเออีก็คือ หญิงสาวเหล่านี้กำลังกลายเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ไปโดยปริยาย

‘30 แก่เกินแต่ง’  ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ

 

ทั้งนี้ เพราะค่านิยมดังกล่าวกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้หญิงต้องรีบ “หาสามี” “แต่งงาน” และ “มีลูก” ก่อนก้าวย่างสู่อายุ 30 ปี มิฉะนั้นก็จะต้องเผชิญเสียงนินทา การกีดกัน และการดูถูกอย่างหนักจากสังคม และแม้กระทั่งครอบครัวตัวเอง

เรียกได้ว่า เลข “30” นั้นเปรียบเสมือน “เส้นตาย” ที่สังคมขีดไว้ให้ผู้หญิง โดยหากเลยวัยนี้ก็ถือว่า “หมดสิทธิ” แต่งงานไปตลอดชีวิต

ดังนั้น ผู้หญิงหลายคนจึงจำเป็นต้องละทิ้งความฝันอันสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทหรือเอก หรือการมุ่งมั่นทำงานที่รักเพื่อเตรียมตัวสร้างครอบครัวนั่นเอง

ด้านผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิของประเทศเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบและสาเหตุของปัญหาโลกแตกนี้ได้ ทว่าก็ได้มีการคิดทฤษฎีมากมาย

ไล่เรียงตั้งแต่ “ค่าสินสอด” แพงหูฉี่ ที่ฝ่ายชายจำเป็นต้องควักจ่ายให้ครอบครัวฝ่ายหญิง โดยแม้รัฐบาลจะงัดกฎเหล็กด้วยการกำหนดเพดานสินสอดที่ 1.4 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท) แต่ทุกวันนี้หนุ่มๆ ยูเออีบางรายนั้นยังคงต้องจ่ายเงินสินสอดที่สูงถึง 1.35 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 4.05 ล้านบาท)

แพงถึงขนาดที่รัฐบาลจำเป็นต้องออกสินเชื่อชนิดใหม่ที่เรียกว่า “สินเชื่อสินสอด” รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือว่าที่เจ้าบ่าวทั้งหลาย

‘30 แก่เกินแต่ง’  ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ

 

เรียกได้ว่า บางคนแต่งงานไปแล้ว 8 ปี ยังคง “ผ่อน” ค่าสินสอดไม่หมดเลย!

ดังนั้น ในเมื่อการแต่งงานกับสาวยูเออีหมายความว่า หนุ่มๆ จะต้องเป็น “หนี้” ตั้งแต่ยังไม่ทันสร้างครอบครัวเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ คนจะเลือกแต่งงานกับสาวต่างชาติมากกว่า

ทุกวันนี้ หลายครอบครัวจึงประสบปัญหา “ขายลูกสาวไม่ออก” กันเป็นแถว

หรือจะเป็นเพราะความเชื่อดั้งเดิมของครอบครัวยูเออีที่ว่า ลูกสาวคนโตจะต้องแต่งงานก่อน

ดังนั้น ตราบใดที่พี่สาวยังโสดสนิท น้องๆ อย่าได้หวังแต่งแซงหน้าเด็ดขาด

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แทนที่จะเห็นใจและหาทางเปลี่ยนแปลงค่านิยมเก่าๆ หลายฝ่ายกลับออกโรง “โทษ” ผู้หญิงว่าที่ยังคงเป็นสาวโสดทุกวันนี้ก็เพราะ “ทำตัวเอง” นั่นเอง ด้วยการเลือกความสุขของตัวเอง อาทิ การเรียน หรือการทำงาน เหนือการสร้างครอบครัว

“ผู้ชายยูเออีไม่ต้องการผู้หญิงที่ทำงาน หรือถ้าจะทำก็ควรเป็นงานพาร์ตไทม์ หรือไม่ก็งานที่บ้าน” สมาชิกสภานิติบัญญัติคนหนึ่งกล่าว โดยคำพูดดังกล่าวก็เป็นการพูดเป็นนัยว่า “ผู้ชายยูเออีไม่มีวันเปลี่ยนความคิด” นั่นเอง

‘30 แก่เกินแต่ง’  ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ

 

แต่งานนี้ ใช่ว่าสตรียูเออีเท่านั้นที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายจากค่านิยมสังคมผิดๆ เพียงลำพัง เพราะหากลองข้ามไปประเทศบ้านพี่เมืองน้องอย่าง “อียิปต์” ซึ่งที่ผ่านมาขึ้นชื่อเรื่องความ “ทันสมัย” และกฎระเบียบทางสังคมที่ไม่เคร่งครัด เมื่อเทียบกับประเทศในแถบตะวันออกกลาง ก็จะพบว่า หญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปีนั้น กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันเลย โดยปัจจุบันจำนวนหญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปีในอียิปต์พุ่งขึ้นอยู่ที่ 3.8 ล้านคน จากจำนวนผู้หญิงทั้งหมด 24 ล้านคน

เรียกได้ว่าเป็นสถิติที่น่าตกใจมาก!

ขณะเดียวกัน ด้านสาวรุ่นใหญ่จากแดนมังกรก็คงจะเข้าใจหัวอกของการเป็นสาวทึนทึกได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เพราะไม่น่าเชื่อว่า กว่า 92% ของผู้ชายจีนนั้นเชื่อว่า หญิงอายุเกิน 30 ปี แก่เกินที่จะเป็นภรรยาได้ โดยมีสาเหตุจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ความพร้อมของร่างกายในการมีบุตรและความสำเร็จด้านการงานของฝ่ายหญิง โดยหากเป็นหญิงทันสมัยที่มีอาชีพการงานมั่นคง ก็จะหาสามียากทันที ราวกับว่าความสำเร็จคือปมด้อย หรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนั้นเลย

ประกอบกับความ “คาดหวัง” ของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกมีทายาทเพื่อสืบตระกูล

แรงกดดันและค่านิยมจากสังคมนั้นรุนแรงมาก เห็นได้จากการบันทึกคำว่า “เซิงหนู่” ซึ่งมีความหมายว่า “ไม่เป็นที่ต้องการ” ไว้ในพจนานุกรมจีนกันเลยทีเดียว โดยคำดังกล่าวนั้นใช้เฉพาะกับผู้หญิงและหมายรวมถึงผู้หญิงจีนทุกคนที่อายุเกิน 27 ปี

ผู้หญิงคนใดที่มีสถานะเป็น “เซิงหนู่” ก็จะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีและจะเป็นตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตจนกว่าจะหาสามีได้

เมื่ออายุ 30 ปี ชักจะไม่ “แจ๋ว” ซะแล้ว หญิงจีนจำนวนมากจึงต้องหันพึ่ง “แม่สื่อมืออาชีพ” เช่น ชมรม “การ์เดน ออฟ จอย” ซึ่งเป็นชมรมพิเศษที่ช่วยหญิงทึนทึกหาคู่

“ฉันมาที่นี่เพราะต้องการหาสามี” หญิงสาววัย 30 ปีคนหนึ่งยอมรับขณะนั่งรอ “คู่เดต” ที่ทางชมรมเลือก

ทั้งนี้ ชมรมการ์เดน ออฟ จอย นั้น จะคัดเลือกชายหนุ่มให้ลูกค้าแต่ละคนอย่างพิถีพิถัน และจะปล่อยให้ทั้งคู่ทำกิจกรรมร่วมกันที่มีให้เลือกกว่า 80 ชนิด ภายในบริเวณชมรม เช่น การเล่นปิงปอง ดูหนัง หรือนั่งทานดินเนอร์สุดโรแมนติก

แม้ชมรมดังกล่าวสามารถช่วยเหลือหญิงจีนจำนวนมากในแต่ละปี ทว่าหลายฝ่ายก็แสดงความไม่พอใจต่อกลยุทธ์โฆษณาที่ทางชมรมเลือกใช้

เพราะป้ายโฆษณาด้านหน้าการ์เดน ออฟ จอย ซึ่งมีข้อความเขียนว่า “คุณโสดอยู่หรือเปล่า ลองคิดถึงความรู้สึกของพ่อแม่บ้าง อย่าสร้างความกังวลให้ท่านเลย” ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการ “ข่มขู่” บรรดาหญิงทึนทึกให้ควักเงินจ่ายค่าสมาชิกเลย

และถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่ปัจจุบันหญิงจีนที่มาขอความช่วยเหลือจากชมรมแห่งนี้กำลังอายุน้อยลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น “ซัมเมอร์” สาวจีนวัยเพียง 26 ปี และสมาชิกคนใหม่ของการ์เดน ออฟ จอย

“ฉันจะไม่มีวันเป็นเซิงหนู่โดยเด็ดขาด” ซัมเมอร์ กล่าว โดยเจ้าตัวนั้นเผยว่า ผู้หญิงจำนวนมากเริ่มมาที่ชมรมตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เพื่อที่จะได้ “มีเวลา” หาสามีมากขึ้นนั่นเอง

ได้ยินเรื่องราวของหญิงโสดทั่วโลก เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเห็นใจผู้หญิงเหล่านี้ไม่น้อย

และก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า ท่ามกลางความก้าวหน้าของโลกยุคปัจจุบัน

เพราะเหตุใดบทบาทของผู้หญิงจึงถูกจำกัดอยู่แค่การเป็นภรรยาและแม่คน

เพราะเหตุใดความสำเร็จของผู้หญิงถึงวัดกันที่การหา “สามี”

และเพราะเหตุใดการเป็น “สาวโสด” จึงถือเป็นสิ่งที่ “ผิด” ในหลายๆ สังคม

งานนี้สงสัย “ความคิด” ของคนคงก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ยังเป็นความคิด “ยุคหิน” ต่อไป

 

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ นักลงทุนรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้