‘30 แก่เกินแต่ง’ ค่านิยมผิดๆ ที่หญิงโสดทั่วโลกต้องแบกรับ
ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่สภานิติบัญญัติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งในยามปกติ
โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์
ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่สภานิติบัญญัติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งในยามปกติจะทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายของประเทศรวมทั้งป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาคการเมือง จะนัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงทางออกของปัญหาร้ายแรงที่กำลังคุกคามสังคมของประเทศอย่างหนัก
เพราะการประชุมนัดฉุกเฉินครั้งนี้ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณให้เห็นว่าทางยูเออีกำลัง “เอาจริง” กับภัยอันตรายชนิดใหม่ในสังคม ซึ่งร้ายแรงและน่ากลัวจนถูกยกให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ไปเสียแล้ว
และแล้วพอการประชุมเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสมาชิกสภา ซึ่งล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งเครียด และความยุ่งเหยิงของโต๊ะประชุมที่เต็มไปด้วยเอกสารกองโต บรรดานักข่าวทั้งสื่อท้องถิ่นและต่างชาติที่เดินทางมาเกาะติดการประชุม ต่างต้องอึ้งกันเป็นแถว หลังประธานสภาลุกขึ้นถามที่ประชุมว่า “ทำไมผู้หญิงอายุเกิน 30 ถึงแก่เกินแต่ง!”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว หลายคนคงคิดว่าท่านประธาน “ปล่อยมุข” เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้นขึ้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากที่ประชุมเลย เพราะคำถามของท่านประธานก็คือหัวข้อการประชุมนั่นเอง!
ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนอาจไม่ทราบว่าสังคมยูเออีกำลังเผชิญปัญหา “สาวทึนทึกล้นสังคม”
เพราะหากพินิจพิจารณาสถิติต่างๆ ที่มีการรวบรวมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็จะพบว่าปัจจุบันมากกว่า 50% ของผู้หญิงยูเออีที่มีอายุเกิน 30 ปีนั้น เข้าข่ายเป็น “หญิงโสด” ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีก่อนถึงเท่าตัว
แต่ที่น่าช็อกกว่านั้นก็เห็นจะเป็น “เหตุผล” ที่ทำไมผู้หญิงเหล่านี้ถึงไม่ได้แต่งงาน ซึ่งก็คือ เพราะผู้ชายยูเออีมองว่าผู้หญิงอายุ 30 อัพถือว่า “แก่เกินแต่ง” ซะแล้ว
หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปี ไม่ต้องลุ้นสละโสดแล้ว เพราะแค่ได้ยินเลข 3 ปุ๊บ หนุ่มๆ ยูเออีก็ไม่คิด แม้แต่จะหันมาเหลือบมองเลย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะนี่คือ “ค่านิยม” ในสังคมยูเออีที่ถูกฝังรากลึกมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปเสียแล้ว
เพราะต้องไม่ลืมว่า จำนวนหญิงที่ครองตัวเป็นโสดที่เพิ่มขึ้นก็ย่อมหมายถึงจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงนั่นเอง ซึ่งก็คือเหตุผลเดียวที่ทางสภานิติบัญญัติของประเทศจำเป็นต้องเรียกประชุมฉุกเฉิน
ทว่าผลกระทบที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในสังคมยูเออีก็คือ หญิงสาวเหล่านี้กำลังกลายเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ไปโดยปริยาย
ทั้งนี้ เพราะค่านิยมดังกล่าวกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้หญิงต้องรีบ “หาสามี” “แต่งงาน” และ “มีลูก” ก่อนก้าวย่างสู่อายุ 30 ปี มิฉะนั้นก็จะต้องเผชิญเสียงนินทา การกีดกัน และการดูถูกอย่างหนักจากสังคม และแม้กระทั่งครอบครัวตัวเอง
เรียกได้ว่า เลข “30” นั้นเปรียบเสมือน “เส้นตาย” ที่สังคมขีดไว้ให้ผู้หญิง โดยหากเลยวัยนี้ก็ถือว่า “หมดสิทธิ” แต่งงานไปตลอดชีวิต
ดังนั้น ผู้หญิงหลายคนจึงจำเป็นต้องละทิ้งความฝันอันสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทหรือเอก หรือการมุ่งมั่นทำงานที่รักเพื่อเตรียมตัวสร้างครอบครัวนั่นเอง
ด้านผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิของประเทศเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบและสาเหตุของปัญหาโลกแตกนี้ได้ ทว่าก็ได้มีการคิดทฤษฎีมากมาย
ไล่เรียงตั้งแต่ “ค่าสินสอด” แพงหูฉี่ ที่ฝ่ายชายจำเป็นต้องควักจ่ายให้ครอบครัวฝ่ายหญิง โดยแม้รัฐบาลจะงัดกฎเหล็กด้วยการกำหนดเพดานสินสอดที่ 1.4 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 4.2 แสนบาท) แต่ทุกวันนี้หนุ่มๆ ยูเออีบางรายนั้นยังคงต้องจ่ายเงินสินสอดที่สูงถึง 1.35 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 4.05 ล้านบาท)
แพงถึงขนาดที่รัฐบาลจำเป็นต้องออกสินเชื่อชนิดใหม่ที่เรียกว่า “สินเชื่อสินสอด” รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือว่าที่เจ้าบ่าวทั้งหลาย
เรียกได้ว่า บางคนแต่งงานไปแล้ว 8 ปี ยังคง “ผ่อน” ค่าสินสอดไม่หมดเลย!
ดังนั้น ในเมื่อการแต่งงานกับสาวยูเออีหมายความว่า หนุ่มๆ จะต้องเป็น “หนี้” ตั้งแต่ยังไม่ทันสร้างครอบครัวเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ คนจะเลือกแต่งงานกับสาวต่างชาติมากกว่า
ทุกวันนี้ หลายครอบครัวจึงประสบปัญหา “ขายลูกสาวไม่ออก” กันเป็นแถว
หรือจะเป็นเพราะความเชื่อดั้งเดิมของครอบครัวยูเออีที่ว่า ลูกสาวคนโตจะต้องแต่งงานก่อน
ดังนั้น ตราบใดที่พี่สาวยังโสดสนิท น้องๆ อย่าได้หวังแต่งแซงหน้าเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แทนที่จะเห็นใจและหาทางเปลี่ยนแปลงค่านิยมเก่าๆ หลายฝ่ายกลับออกโรง “โทษ” ผู้หญิงว่าที่ยังคงเป็นสาวโสดทุกวันนี้ก็เพราะ “ทำตัวเอง” นั่นเอง ด้วยการเลือกความสุขของตัวเอง อาทิ การเรียน หรือการทำงาน เหนือการสร้างครอบครัว
“ผู้ชายยูเออีไม่ต้องการผู้หญิงที่ทำงาน หรือถ้าจะทำก็ควรเป็นงานพาร์ตไทม์ หรือไม่ก็งานที่บ้าน” สมาชิกสภานิติบัญญัติคนหนึ่งกล่าว โดยคำพูดดังกล่าวก็เป็นการพูดเป็นนัยว่า “ผู้ชายยูเออีไม่มีวันเปลี่ยนความคิด” นั่นเอง
แต่งานนี้ ใช่ว่าสตรียูเออีเท่านั้นที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายจากค่านิยมสังคมผิดๆ เพียงลำพัง เพราะหากลองข้ามไปประเทศบ้านพี่เมืองน้องอย่าง “อียิปต์” ซึ่งที่ผ่านมาขึ้นชื่อเรื่องความ “ทันสมัย” และกฎระเบียบทางสังคมที่ไม่เคร่งครัด เมื่อเทียบกับประเทศในแถบตะวันออกกลาง ก็จะพบว่า หญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปีนั้น กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันเลย โดยปัจจุบันจำนวนหญิงโสดที่อายุเกิน 30 ปีในอียิปต์พุ่งขึ้นอยู่ที่ 3.8 ล้านคน จากจำนวนผู้หญิงทั้งหมด 24 ล้านคน
เรียกได้ว่าเป็นสถิติที่น่าตกใจมาก!
ขณะเดียวกัน ด้านสาวรุ่นใหญ่จากแดนมังกรก็คงจะเข้าใจหัวอกของการเป็นสาวทึนทึกได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
เพราะไม่น่าเชื่อว่า กว่า 92% ของผู้ชายจีนนั้นเชื่อว่า หญิงอายุเกิน 30 ปี แก่เกินที่จะเป็นภรรยาได้ โดยมีสาเหตุจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ความพร้อมของร่างกายในการมีบุตรและความสำเร็จด้านการงานของฝ่ายหญิง โดยหากเป็นหญิงทันสมัยที่มีอาชีพการงานมั่นคง ก็จะหาสามียากทันที ราวกับว่าความสำเร็จคือปมด้อย หรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนั้นเลย
ประกอบกับความ “คาดหวัง” ของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกมีทายาทเพื่อสืบตระกูล
แรงกดดันและค่านิยมจากสังคมนั้นรุนแรงมาก เห็นได้จากการบันทึกคำว่า “เซิงหนู่” ซึ่งมีความหมายว่า “ไม่เป็นที่ต้องการ” ไว้ในพจนานุกรมจีนกันเลยทีเดียว โดยคำดังกล่าวนั้นใช้เฉพาะกับผู้หญิงและหมายรวมถึงผู้หญิงจีนทุกคนที่อายุเกิน 27 ปี
ผู้หญิงคนใดที่มีสถานะเป็น “เซิงหนู่” ก็จะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีและจะเป็นตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตจนกว่าจะหาสามีได้
เมื่ออายุ 30 ปี ชักจะไม่ “แจ๋ว” ซะแล้ว หญิงจีนจำนวนมากจึงต้องหันพึ่ง “แม่สื่อมืออาชีพ” เช่น ชมรม “การ์เดน ออฟ จอย” ซึ่งเป็นชมรมพิเศษที่ช่วยหญิงทึนทึกหาคู่
“ฉันมาที่นี่เพราะต้องการหาสามี” หญิงสาววัย 30 ปีคนหนึ่งยอมรับขณะนั่งรอ “คู่เดต” ที่ทางชมรมเลือก
ทั้งนี้ ชมรมการ์เดน ออฟ จอย นั้น จะคัดเลือกชายหนุ่มให้ลูกค้าแต่ละคนอย่างพิถีพิถัน และจะปล่อยให้ทั้งคู่ทำกิจกรรมร่วมกันที่มีให้เลือกกว่า 80 ชนิด ภายในบริเวณชมรม เช่น การเล่นปิงปอง ดูหนัง หรือนั่งทานดินเนอร์สุดโรแมนติก
แม้ชมรมดังกล่าวสามารถช่วยเหลือหญิงจีนจำนวนมากในแต่ละปี ทว่าหลายฝ่ายก็แสดงความไม่พอใจต่อกลยุทธ์โฆษณาที่ทางชมรมเลือกใช้
เพราะป้ายโฆษณาด้านหน้าการ์เดน ออฟ จอย ซึ่งมีข้อความเขียนว่า “คุณโสดอยู่หรือเปล่า ลองคิดถึงความรู้สึกของพ่อแม่บ้าง อย่าสร้างความกังวลให้ท่านเลย” ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการ “ข่มขู่” บรรดาหญิงทึนทึกให้ควักเงินจ่ายค่าสมาชิกเลย
และถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่ปัจจุบันหญิงจีนที่มาขอความช่วยเหลือจากชมรมแห่งนี้กำลังอายุน้อยลงเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างเช่น “ซัมเมอร์” สาวจีนวัยเพียง 26 ปี และสมาชิกคนใหม่ของการ์เดน ออฟ จอย
“ฉันจะไม่มีวันเป็นเซิงหนู่โดยเด็ดขาด” ซัมเมอร์ กล่าว โดยเจ้าตัวนั้นเผยว่า ผู้หญิงจำนวนมากเริ่มมาที่ชมรมตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เพื่อที่จะได้ “มีเวลา” หาสามีมากขึ้นนั่นเอง
ได้ยินเรื่องราวของหญิงโสดทั่วโลก เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเห็นใจผู้หญิงเหล่านี้ไม่น้อย
และก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า ท่ามกลางความก้าวหน้าของโลกยุคปัจจุบัน
เพราะเหตุใดบทบาทของผู้หญิงจึงถูกจำกัดอยู่แค่การเป็นภรรยาและแม่คน
เพราะเหตุใดความสำเร็จของผู้หญิงถึงวัดกันที่การหา “สามี”
และเพราะเหตุใดการเป็น “สาวโสด” จึงถือเป็นสิ่งที่ “ผิด” ในหลายๆ สังคม
งานนี้สงสัย “ความคิด” ของคนคงก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ยังเป็นความคิด “ยุคหิน” ต่อไป


