posttoday

ระวัง...! ยาหน้าใสไร้สิวแต่เสี่ยงโรค

17 กรกฎาคม 2555

โดย...มัลลิกา นามสง่า

โดย...มัลลิกา นามสง่า

หนุ่มสาวสมัยนี้ เพียงแค่มีตุ่มเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าก็ร้อนใจแล้ว ถ้าร้ายถึงขั้นเป็นสิวเม็ดเป้ง หรือสิวอุดตัน สิวอักเสบบนใบหน้าแล้วละก็ เรียกได้ว่า แทบไม่อยากเอาหน้าออกไปพบผู้คน ดังนั้นมีหนทางวิธีไหนที่จะจำกัดส่วนเกินบนใบหน้างามๆ ได้ ต้องเร่งรีบ “การกินยารักษาสิว” จึงกลายมาเป็นอีกทางเลือกเร่งด่วน แต่หารู้ไม่ว่าการกินยารักษาสิวแม้จะช่วยให้กลับมาหน้าใสไร้เม็ดสิว แต่ยังส่งผลกระทบให้เกิดภาวะโรคภัยต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน

ระวัง...! ยาหน้าใสไร้สิวแต่เสี่ยงโรค

 

“นพ.จีรวัส ศิลาสุวรรณ” อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า ยารักษาสิว มี 3 กลุ่มใหญ่ คือ ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic Drog) ยาลดการอักเสบ (NonSteroidal AntiInflammatory Drugs or Steroid) และยาลดไขมันบนใบหน้า (ยาในกลุ่ม Isotretinoin Roaccutane Acnotin) ซึ่งยาแต่ละกลุ่มส่งผลเสียต่อร่างกายแตกต่างกันไป

กลุ่มยาฆ่าเชื้อและยาลดการอักเสบเสี่ยงให้เกิดโรคกระเพาะ กระเพาะทะลุ กรดไหลย้อน และถ้ามีอาการกลืนเจ็บ กลืนลำบาก ซึ่งเป็นผลหลังจากการรับประทานยา อาจเกิดจากยาติดค้างในหลอดอาหาร เป็นผลมาจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป ควรจะดื่มน้ำตาม 12 แก้ว และหลังจากรับประทานยาไม่ควรนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากลุ่มนี้เป็นโรคกระเพาะอักเสบเพิ่มมาก

สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะควรรับประทานยาหลังอาหารทันที และควรรับประทานยาลดกรดควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันกระเพาะทะลุหรือโรคกระเพาะกำเริบ ซึ่งหากไปพบแพทย์ช้าก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

นอกจากยากลุ่มนี้ จะส่งผลร้ายให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารแล้ว ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ยานี้จะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบ นับว่าเป็นภัยเงียบ คนทั่วไปไม่ได้ระวังการรับประทานยารักษาสิว ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย

กลุ่มยาลดไขมันบนใบหน้า ผลที่เห็นชัดเจนและพบบ่อยก็คือ คนที่รับประทานยาจะมีอาการปากแห้ง ถึงขั้นริมฝีปากแตกมีเลือดออก และห้ามคนท้องรับประทานยานี้โดยเด็ดขาด เพราะเสี่ยงให้เด็กที่เกิดมาพิการ สำหรับคนปกติระหว่างที่รับประทานยาจำพวกนี้ หากจะมีเพศสัมพันธ์ต้องป้องกัน และมีการวางแผนการมีบุตร โดยหลังหยุดรับประทานยา 612 เดือน ถึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้

“วัยรุ่ยสมัยนี้ใจร้อน เป็นสิวนิดเดียวก็ไปหาหมอแล้ว ในความจริงแล้วการเกิดสิวนั้นเป็นเรื่องของฮอร์โมน ในช่วงวัยรุ่นก็จะเป็นมากหน่อย พอมาวัยทำงานจนอายุมากขึ้นสิวก็จะค่อยๆ ลดไปเอง แต่ถ้าเป็นสิวเนื่องมาจากพันธุกรรมก็จะเป็นอยู่เรื่อยๆ การดูแลรักษาเบื้องต้นควรล้างหน้าให้สะอาดหมดจด หากเกิดสิวรุนแรงจำเป็นค่อยไปหาหมอ ถ้าเป็นไม่มากก็ใช้ยาทาเอา แพทย์ผิวหนังจะมีระดับในการรักษา แต่บางคลินิกสถานความงามไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง บางทีจ่ายยาเพื่อรักษาสิวอย่างเดียว ตรงนี้คนไข้ก็ต้องมีความรู้พื้นฐานไว้ด้วย ต้องบอกกับแพทย์เลยว่ามีโรคประจำตัวอะไร และถ้าสิวลดลงแล้วควรหยุดยากิน เปลี่ยนมาใช้ยาทาคุมอาการแทน” นพ.จีรวัสกล่าว

ยิ่งปัจจุบันยารักษาสิวหาซื้อได้สะดวกตามร้านขายยาและมีราคาถูกกว่าตามคลินิกทั่วๆ ไป ซึ่งการซื้อยารับประทานเองโดยไม่มีแพทย์สั่งยิ่งเสี่ยงอันตราย “เดี๋ยวนี้คนซื้อกินกันเองก็เยอะ อยากฝากไว้ว่า ควรรู้ไว้ว่ากินยาแบบนี้มีปัญหาอะไร ใบประกอบยาต้องอ่านว่ามีผลข้างเคียงอะไรบ้าง มีระยะในการกิน อย่างยาฆ่าเชื้อไม่ควรกินติดต่อนานเกิน 3 เดือน ยาลดไขมันบนใบหน้ามีผลต่อตับอักเสบ ไม่ควรดื่มเหล้าขณะกินยานี้ เพราะจะทำให้อาการกำเริบ และสำหรับคนที่กินยานี้นานต่อกัน 23 ปี ก็เป็นสาเหตุของตับอักเสบหรือตับแข็งได้ ยิ่งวัยรุ่นขาดความระมัดระวัง ขาดการดูแลตัวเองกินยาไม่ตรงเวลา กินบ้างไม่กินบ้าง หรือดื่มน้ำตามน้อย จะทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหาร”

หนุ่มสาวคนไหนอยากหน้าสวยไร้สิวและเลือกวิธีรักษาสิวด้วยการรับประทานยา ควรต้องระวังให้มาก ต้องกล้าซักถามคุณหมอเกี่ยวกับยา แจ้งคุณหมอหากมีโรคประจำตัว หากเคยรับประทานยาแล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือหลอดอาหาร ควรแจ้งให้คุณหมอทราบทันที และไม่ควรรับประทานยาต่อเนื่องยาวนาน

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!