ลูกไม้ไม่ไกลต้น ศุภชัย วีรบวรพงศ์
อาจเพราะเติบโตขึ้นในต่างแดน วิสัยทัศน์ของ
“ศุภชัย วีรบวรพงศ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) จึงแตกต่าง แต่เขาก็สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวและคนรอบข้าง ทั้งยังมีส่วนนำพาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งๆ ที่ในตอนนั้น โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการเกือบทั้งหมดแทบจะเรียกได้ว่า “อยู่ในหลุม” เจ้าตัวหยุดคิดก่อนยิ้มเก๋ สั่นหัวตอบว่าไม่ใช่หรอก เพราะพ่อต่างหากด้วยวัยเพียง 36 ปี เขาคือทายาทของเจ้าพ่อแก๊สแอลพีจีรายใหญ่ของประเทศ
“วรวิทย์ วีรบวรพงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแก๊สฯ เจ้าของสยามแก๊สและยูนิคแก๊ส ซึ่งปีที่ผ่านมากวาดวอลุมแอลพีจีในตลาดกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากธุรกิจแก๊ส ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลายคนรู้จักดีกับโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ก็เขานี่เองที่ล้มลุกปลุกปั้น กว่าที่โครงการจะผงาดขึ้นเป็นที่รู้จักวัยเยาว์ในต่างแดน
“
ผมไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศตั้งแต่ 9 ขวบ ซึ่งเป็นความต้องการของผมเอง” ศุภชัยเล่า ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง บ้านอยู่ใกล้กันที่ซอยลาซาล ญาติผู้พี่คนนี้เรียนหนังสือที่สิงคโปร์ คิดตามประสาเด็กว่าอยากไปบ้าง เพราะเวลาไปเที่ยวเมืองนอกกับพ่อแม่มันสนุก สบายทุกอย่างไปเที่ยวกับไปอยู่จริงๆ ไม่เหมือนกัน ห่างพ่อห่างแม่ไปหนนี้ไปอยู่กับครอบครัวคนสิงคโปร์ ไปเริ่มเรียนชั้นป.2 ภาษาอังกฤษยังใช้ไม่ได้ ภาษาจีนก็ไม่เคยเรียนลองเดาดูเถิดว่าหนูน้อยศุภชัยจะรู้สึกแปลกแยกแค่ไหน จากที่เคยเป็นลูกคนเดียว (ในขณะนั้น) ถูกพะเน้าพะนอออส่วนมาจนชิน แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด ได้รับค่าขนมแค่วันละ 4 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 40 บาท) อยากได้อะไรก็เชิญเก็บเงินซื้อเอาเอง
เจ้าตัวบอกว่าร้องไห้จะกลับบ้านทุกครั้งที่มีคนไปเยี่ยม (ฮา) น้ำตาไหลอัตโนมัติ ทำทุกวิถีทางที่จะกลับเมืองไทย อ้อนวอนขอร้องทั้งแม่และคุณย่าที่รักเขามาก แต่พ่อบอกคำเดียวว่าไม่ได้ ตัดสินใจทิ้งกลางคันอย่างนี้ไม่ได้ ที่มาเรียนนี่ก็เพราะตัวเองไม่ใช่หรือที่ร่ำร้องอยากมา ถ้าอยากกลับก็ต้องเรียนให้จบมัธยมก่อน พ่อคงกำลังสอนให้รู้ว่า เมื่อพูดแล้วจะคืนคำนั้นไม่ง่าย การเปลี่ยนคำพูดหรือเปลี่ยนใจไปมา ส่งผลทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง
ชีวิตที่อเมริกา
ชีวิตดำเนินต่อไป ปรับตัวปรับวิถีที่ทางได้ ทุกอย่างก็ไม่ยากเท่าไหร่ นักเรียนสิงคโปร์วินัยสูง ทำการบ้านทบทวนการเรียนเสร็จก่อนจึงเล่นหรือพักผ่อน ทุกคนช่วยกันเรียนและแข่งกันเรียนไปพร้อมๆ กัน เขาเรียนอย่างจริงจังและจบเกรด 6 ด้วยเกรดที่เรียกว่าดี จบมัธยมแล้วไม่ยักกลับบ้าน ตัดสินใจไปเรียนปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา โดยสุ่มเลือกมหาวิทยาลัยด้วยวิธีที่ไม่อยากจะเชื่อ
ไม่อยากเรียนแอลเอ คิดเองว่าเดี๋ยวเจอคนเยอะ ก็จะเที่ยวเยอะ ใช้วิธีกางแผนที่ จิ้มเมืองที่ห่างออกมา ปรากฏว่าจิ้มห่างไปหน่อย เจอมิชิแกนสเตท ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เลยว่า มันอยู่ที่ไหน ดีไหม หรือมีอะไรให้อยากเรียนบ้าง นั่งเครื่องต่อแล้วต่ออีก ในที่สุดก็มาถึง มหาวิทยาลัยไกลลิบโลก ห้างสรรพสินค้าใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร
“
ผมขอเงินที่บ้านซื้อรถยนต์ก็ไม่ให้ กลัวฟุ้งเฟ้อ... กลัวเหลือเกิน (ฮา) ตื๊อหนักเข้าก็ส่งเงินมาให้ 100 เหรียญ ให้มาซื้อจักรยาน (ฮา) หน้าร้อนไม่เป็นไร แต่หน้าหนาวติดลบ ง้างเท้าปั่นแทบไม่ออก” ศุภชัยเล่า เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย (ล้างจาน) เก็บเงินซื้อรถจนการเรียนร่วง ตกใจกลับมามุและจบด้วยเกรด 3.02จะว่าไปการเรียนที่สิงคโปร์ช่วยได้มาก โดยเฉพาะเรื่องวินัย ความมัธยัสถ์ และการจัดการชีวิต ลำพังไปเริ่มที่สหรัฐเลย ไม่แน่ใจว่าจะจบหรือจะเหลวไหลเสียก่อน ศุภชัยจบวิศวกรรมโยธา ซึ่งทางบ้านสนับสนุน เนื่องจากขณะนั้นเริ่มทำอสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็เชื่อว่ากลับมาจะได้ช่วยกัน โครงการแรกคือโครงการตลาดน้อยที่วงเวียนโอเดียน และต่อมาคือโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ระยะต่อขยาย
ปีนขึ้นจากหลุม
“
จบมาใหม่ๆ ความรู้ของผมดูจะเป็นคนละเรื่องกับโลกความจริง ผมรู้วิธีสร้างตึก แต่ในความเป็นจริง การสร้างตึกไม่ใช่แค่นั้น หากเราต้องเรียนรู้ที่จะสร้างตึกในมิติที่ต้องเชื่อมโยงกันหมดทั้งเรื่องของต้นทุน ระยะเวลาก่อสร้าง และการขาย ถ้าครอบคลุมทั้งหมดนี้ได้ นั่นแหละเราถึงจะสร้างตึกที่มีกำไร”ศุภชัยเล่าปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินงดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โบ๊เบ๊ทาวเวอร์เฟส 2 ซึ่งเชื่อมติดกับเฟส 1 หยุดชะงัก ตอนนั้นขุดหลุมฐานรากไปแล้ว มองลงไปเห็นเป็นหลุมยักษ์ขนาดใหญ่ 6 ไร่ มันโบ๋ลึกอยู่อย่างนั้นเป็นปีเกือบ 2 ปี จนกลัวว่าโครงสร้างที่ค้ำไว้ชั่วคราวจะรับน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ดินทรายเริ่มทะลัก ถึงตอนนั้นเฟส 1 ก็จะไหลลงไปกองรวมอยู่ในหลุมด้วย
บิดาจึงตัดสินใจนำเงินหมุนเวียนจากธุรกิจแก๊สมาใช้ก่อสร้างไปทีละน้อย คนเห็นงานเดินก็สนใจ เพราะโบ๊เบ๊เป็นตึกเดียวในย่านนี้ที่ใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ได้ ลูกค้าเริ่มมาจอง การก่อสร้างค่อยๆ เดินเหมือนทากกระดืบ ศุภชัยดูแลงานก่อสร้าง เขาดูดน้ำขึ้นจากบ่อ จากนั้นงานปูนงานเหล็กก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ลูกค้าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดชั้นใต้ดินก็เรียบร้อย
จากให้เช่าเปลี่ยนเป็นขายขาด คราวนี้ผู้คนไม่รู้แห่มาจากไหน ประกอบกับงานก่อสร้างเดินหน้าด้วย ก็สร้างความไว้วางใจ โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ถึงมีทาง จากชั้น G ค่อยๆ ก่อสร้างถึงชั้น 2 ชั้น 3 จนชั้น 45 ยิ่งเปิดขายก็ยิ่งดูดดึงคนทุกสารทิศ นี่เองที่ทำให้เรารอด ตึกโบ๊เบ๊ในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นตำนาน จากตารางเมตรละ 2 แสนบาทเศษ เดี๋ยวนี้เซ้งขายกันเองล็อกหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน


