posttoday

ลูกไม้ไม่ไกลต้น ศุภชัย วีรบวรพงศ์

15 มีนาคม 2553

อาจเพราะเติบโตขึ้นในต่างแดน วิสัยทัศน์ของ ศุภชัย วีรบวรพงศ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) จึงแตกต่าง แต่เขาก็สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวและคนรอบข้าง ทั้งยังมีส่วนนำพาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งๆ ที่ในตอนนั้น โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการเกือบทั้งหมดแทบจะเรียกได้ว่า อยู่ในหลุมเจ้าตัวหยุดคิดก่อนยิ้มเก๋ สั่นหัวตอบว่าไม่ใช่หรอก เพราะพ่อต่างหาก

ด้วยวัยเพียง 36 ปี เขาคือทายาทของเจ้าพ่อแก๊สแอลพีจีรายใหญ่ของประเทศ วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแก๊สฯ เจ้าของสยามแก๊สและยูนิคแก๊ส ซึ่งปีที่ผ่านมากวาดวอลุมแอลพีจีในตลาดกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากธุรกิจแก๊ส ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลายคนรู้จักดีกับโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ก็เขานี่เองที่ล้มลุกปลุกปั้น กว่าที่โครงการจะผงาดขึ้นเป็นที่รู้จัก

วัยเยาว์ในต่างแดน

ผมไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศตั้งแต่ 9 ขวบ ซึ่งเป็นความต้องการของผมเองศุภชัยเล่า ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง บ้านอยู่ใกล้กันที่ซอยลาซาล ญาติผู้พี่คนนี้เรียนหนังสือที่สิงคโปร์ คิดตามประสาเด็กว่าอยากไปบ้าง เพราะเวลาไปเที่ยวเมืองนอกกับพ่อแม่มันสนุก สบายทุกอย่าง

ไปเที่ยวกับไปอยู่จริงๆ ไม่เหมือนกัน ห่างพ่อห่างแม่ไปหนนี้ไปอยู่กับครอบครัวคนสิงคโปร์ ไปเริ่มเรียนชั้นป.2 ภาษาอังกฤษยังใช้ไม่ได้ ภาษาจีนก็ไม่เคยเรียนลองเดาดูเถิดว่าหนูน้อยศุภชัยจะรู้สึกแปลกแยกแค่ไหน จากที่เคยเป็นลูกคนเดียว (ในขณะนั้น) ถูกพะเน้าพะนอออส่วนมาจนชิน แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด ได้รับค่าขนมแค่วันละ 4 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 40 บาท) อยากได้อะไรก็เชิญเก็บเงินซื้อเอาเอง

เจ้าตัวบอกว่าร้องไห้จะกลับบ้านทุกครั้งที่มีคนไปเยี่ยม (ฮา) น้ำตาไหลอัตโนมัติ ทำทุกวิถีทางที่จะกลับเมืองไทย อ้อนวอนขอร้องทั้งแม่และคุณย่าที่รักเขามาก แต่พ่อบอกคำเดียวว่าไม่ได้ ตัดสินใจทิ้งกลางคันอย่างนี้ไม่ได้ ที่มาเรียนนี่ก็เพราะตัวเองไม่ใช่หรือที่ร่ำร้องอยากมา ถ้าอยากกลับก็ต้องเรียนให้จบมัธยมก่อน พ่อคงกำลังสอนให้รู้ว่า เมื่อพูดแล้วจะคืนคำนั้นไม่ง่าย การเปลี่ยนคำพูดหรือเปลี่ยนใจไปมา ส่งผลทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง

ชีวิตที่อเมริกา

ชีวิตดำเนินต่อไป ปรับตัวปรับวิถีที่ทางได้ ทุกอย่างก็ไม่ยากเท่าไหร่ นักเรียนสิงคโปร์วินัยสูง ทำการบ้านทบทวนการเรียนเสร็จก่อนจึงเล่นหรือพักผ่อน ทุกคนช่วยกันเรียนและแข่งกันเรียนไปพร้อมๆ กัน เขาเรียนอย่างจริงจังและจบเกรด 6 ด้วยเกรดที่เรียกว่าดี จบมัธยมแล้วไม่ยักกลับบ้าน ตัดสินใจไปเรียนปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา โดยสุ่มเลือกมหาวิทยาลัยด้วยวิธีที่ไม่อยากจะเชื่อ

ไม่อยากเรียนแอลเอ คิดเองว่าเดี๋ยวเจอคนเยอะ ก็จะเที่ยวเยอะ ใช้วิธีกางแผนที่ จิ้มเมืองที่ห่างออกมา ปรากฏว่าจิ้มห่างไปหน่อย เจอมิชิแกนสเตท ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เลยว่า มันอยู่ที่ไหน ดีไหม หรือมีอะไรให้อยากเรียนบ้าง นั่งเครื่องต่อแล้วต่ออีก ในที่สุดก็มาถึง มหาวิทยาลัยไกลลิบโลก ห้างสรรพสินค้าใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร

ผมขอเงินที่บ้านซื้อรถยนต์ก็ไม่ให้ กลัวฟุ้งเฟ้อ... กลัวเหลือเกิน (ฮา) ตื๊อหนักเข้าก็ส่งเงินมาให้ 100 เหรียญ ให้มาซื้อจักรยาน (ฮา) หน้าร้อนไม่เป็นไร แต่หน้าหนาวติดลบ ง้างเท้าปั่นแทบไม่ออกศุภชัยเล่า เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย (ล้างจาน) เก็บเงินซื้อรถจนการเรียนร่วง ตกใจกลับมามุและจบด้วยเกรด 3.02

จะว่าไปการเรียนที่สิงคโปร์ช่วยได้มาก โดยเฉพาะเรื่องวินัย ความมัธยัสถ์ และการจัดการชีวิต ลำพังไปเริ่มที่สหรัฐเลย ไม่แน่ใจว่าจะจบหรือจะเหลวไหลเสียก่อน ศุภชัยจบวิศวกรรมโยธา ซึ่งทางบ้านสนับสนุน เนื่องจากขณะนั้นเริ่มทำอสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็เชื่อว่ากลับมาจะได้ช่วยกัน โครงการแรกคือโครงการตลาดน้อยที่วงเวียนโอเดียน และต่อมาคือโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ระยะต่อขยาย

ปีนขึ้นจากหลุม

จบมาใหม่ๆ ความรู้ของผมดูจะเป็นคนละเรื่องกับโลกความจริง ผมรู้วิธีสร้างตึก แต่ในความเป็นจริง การสร้างตึกไม่ใช่แค่นั้น หากเราต้องเรียนรู้ที่จะสร้างตึกในมิติที่ต้องเชื่อมโยงกันหมดทั้งเรื่องของต้นทุน ระยะเวลาก่อสร้าง และการขาย ถ้าครอบคลุมทั้งหมดนี้ได้ นั่นแหละเราถึงจะสร้างตึกที่มีกำไรศุภชัยเล่า

ปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินงดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โบ๊เบ๊ทาวเวอร์เฟส 2 ซึ่งเชื่อมติดกับเฟส 1 หยุดชะงัก ตอนนั้นขุดหลุมฐานรากไปแล้ว มองลงไปเห็นเป็นหลุมยักษ์ขนาดใหญ่ 6 ไร่ มันโบ๋ลึกอยู่อย่างนั้นเป็นปีเกือบ 2 ปี จนกลัวว่าโครงสร้างที่ค้ำไว้ชั่วคราวจะรับน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ดินทรายเริ่มทะลัก ถึงตอนนั้นเฟส 1 ก็จะไหลลงไปกองรวมอยู่ในหลุมด้วย

บิดาจึงตัดสินใจนำเงินหมุนเวียนจากธุรกิจแก๊สมาใช้ก่อสร้างไปทีละน้อย คนเห็นงานเดินก็สนใจ เพราะโบ๊เบ๊เป็นตึกเดียวในย่านนี้ที่ใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ได้ ลูกค้าเริ่มมาจอง การก่อสร้างค่อยๆ เดินเหมือนทากกระดืบ ศุภชัยดูแลงานก่อสร้าง เขาดูดน้ำขึ้นจากบ่อ จากนั้นงานปูนงานเหล็กก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ลูกค้าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดชั้นใต้ดินก็เรียบร้อย

จากให้เช่าเปลี่ยนเป็นขายขาด คราวนี้ผู้คนไม่รู้แห่มาจากไหน ประกอบกับงานก่อสร้างเดินหน้าด้วย ก็สร้างความไว้วางใจ โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ถึงมีทาง จากชั้น G ค่อยๆ ก่อสร้างถึงชั้น 2 ชั้น 3 จนชั้น 45 ยิ่งเปิดขายก็ยิ่งดูดดึงคนทุกสารทิศ นี่เองที่ทำให้เรารอด ตึกโบ๊เบ๊ในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นตำนาน จากตารางเมตรละ 2 แสนบาทเศษ เดี๋ยวนี้เซ้งขายกันเองล็อกหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2