กางเขน เครื่องประดับความเป็นมาอันยาวนาน
โดย...สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โดย...สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เครื่องประดับคือความงดงามที่ไร้กาลเวลา เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปนานเพียงใด แต่ความงามอันทรงคุณค่าที่คงเอกลักษณ์ของชนชาติ ชนเผ่า และอารยธรรมเก่าแก่ ก็ยังคงสะท้อนคุณค่าความงดงามไม่เสื่อมคลาย.
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เครื่องประดับที่มนุษย์นำมาตกแต่งร่างกายเพื่อความงามนั้น ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตามความนิยมและความเชื่อของผู้คนในแต่ละยุคสมัย โดยเริ่มต้นจากการใช้วัสดุที่พบได้ง่ายในท้องถิ่น สะดวกต่อการนำมาประดิดประดอยเป็นเครื่องประดับร่างกายส่วนต่างๆ และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีการเสาะหาอัญมณีและโลหะมีค่าอันสวยงาม มาร้อยเรียงเป็นเครื่องประดับที่หรูหรางดงาม
เครื่องประดับเก่าแก่ในยุคแรกๆ ที่มีการค้นพบนั้น ส่วนใหญ่จะพบเป็นสร้อยลูกปัด ทั้งลูกปัดที่ทำจากดิน ไม้ หิน หรือ แก้ว ซึ่งเครื่องประดับที่ทำจากลูกปัดนั้นก็พบอยู่มากมายแทบทั่วทุกมุมโลก แต่หากย้อนไปในสมัยโบราณเครื่องประดับโบราณที่เชื่อว่า หลายท่านต้องคิดถึงเป็นอันดับแรกก็ต้องเป็นเครื่องประดับโบราณแห่งอารายธรรมอียิปต์ ด้วยลักษณะอันโดดเด่นและงดงาม ทั้งสีสันของลูกปัดแก้วสีต่างๆ ยังมีการใช้หินสีต่างๆ รวมทั้งลาพิสลาซูรี เทอร์คอยซ์ ทองคำ ประกอบกันกลายเครื่องประดับที่นอกจากความงามแล้วนั้น ยังแฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้งอีกด้วย อย่างเช่น เข็มกลัดนกเหยี่ยว สัญลักษณ์รูปดวงตา ที่สื่อถึงเทพเจ้า ซึ่งจะคุ้มครองผู้สวมใส่
นอกจากนั้น เครื่องประดับยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของชนชั้นและฐานะในสังคม ซึ่งในอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์นั้นผู้ที่มีสิทธิ์ใช้เครื่องประดับทองคำต้องเป็นชนชั้นกษัตริย์ ฟาร์โรห์ หรือชนชั้นสูง เท่านั้น แต่เครื่องประดับในยุคอียิปต์โบราณนี้ยังเป็นเครื่องประดับชิ้นค่อนข้างใหญ่ ที่จดจำกันได้และพบมาก เช่นแผงสร้อยคอของฟาร์โรห์ หมวกประดับศีรษะ สร้อยข้อมือ ซึ่งยังมีลักษณะที่ยังไม่อ่อนช้อยมากนั้น
อีกยุคหนึ่งที่เราเชื่อว่าหลายท่านต้องคิดถึงเช่นกัน คือเครื่องประดับในยุคกรีกและโรมัน ซึ่งในยุคนี้ เครื่องประดับที่ทำจากทองคำถือว่าได้รับความนิยมอย่างสูงสุด และเครื่องประดับที่เห็นได้ชัดในลักษณะของกรีกและโรมันนั่นคือ รัดเกล้า (อย่างเช่นที่เราเห็นในภาพยนตร์กรีกโบราณ หรือ ภาพปูนปั้นเทพเจ้ากรีกโบราณ) นั่นเอง แต่ในระยะแรกนั้นเครื่องประดับส่วนใหญ่ทำจากทองคำเพียงอย่างเดียวไม่นิยมนำอัญมณีมาใช้ แต่หลังจากนั้นในยุคโรมันตอนปลายก็เริ่มมีการนำอัญมณีเข้ามาประกอบเป็นเครื่องประดับ อย่างเช่น มรกต แต่ก็ไม่ได้มีวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากนัก นอกจากนี้การนำหินลาวา มาแกะสลัก อย่างเทคนิคที่เรียกว่า คามิโอ ก็เริ่มขึ้นในยุคนี้เช่นกัน
แม้ว่าการใช้เครื่องประดับจะมีมานานแล้วก็ตาม แต่ในอดีตการใช้เครื่องประดับนั้นก็มักใช้ในพิธีสำคัญ หรืองานสำคัญเท่านั้น และไม่ได้ออกแบบมาใช้สำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเครื่องประดับสตรี แต่ความงามย่อมคู่กับหญิงสาว ในยุคต่อมาเครื่องประดับก็เริ่มที่จะแพร่เข้าสู่กลุ่มคนในชนชั้นต่างๆ มากขึ้นเป็นลำดับ
ยุคที่เครื่องประดับเฟื่องฟูมากๆ นั้น อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 1719 ราวยุคของสมัยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 14 เนื่องจากในโลกเราเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ผู้คนอยู่กันเป็นสังคมมากขึ้น ผู้หญิงเริ่มทำงาน ไม่ได้อยู่บ้าน ทำงานบ้าน หรือดูแลครอบครัวเพียงอย่างเดียว
ในสังคมของผู้หญิงนั้นย่อมมีการประชันกันในเรื่องของความสวยงาม รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย และเครื่องประดับ ซึ่งเครื่องประดับที่ใช้กันโดยส่วนใหญ่ของหญิงสาวชาวยุโรปในช่วงนั้น จะแบ่งออกเป็นสองประเภท ก็คล้ายกับในปัจจุบัน คือ เครื่องประดับสำหรับสวมใส่ในเวลากลางวัน และประเภทที่ใช้สวมใส่ในเวลากลางคืน
เครื่องประดับที่มีความเป็นมาอันยาวนาน หนีไม่พ้น “กางเขน” เครื่องประดับที่นอกจากจะใช้สื่อความหมายในเรื่องราวของศาสนาแล้ว ยังบอกเล่าความเป็นมาในอดีต และวัฒนธรรมอันเก่าแก่แต่โบราณอีกด้วย กางเขนเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้โดยมนุษย์ และใช้เป็นสัญลักษณ์ศาสนาหลายศาสนาที่รวมทั้งคริสต์ศาสนา
กางเขนบ่อยครั้งจะเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักทั้ง 4 ของโลก (เชวาลิเยร์, ค.ศ. 1997) หรืออีกความหมายหนึ่ง คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเทพที่เป็นแกนตั้งและโลกที่เป็นแกนนอน จึงไม่แปลกที่มีคนมากมายนิยมใช้เครื่องประดับที่เป็นรูปกางเขน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ความนิยมนี้ก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมีแตกต่างกันเพียงในเรื่องของวัสดุที่ใช้ผลิตเท่านั้น


