ไม้ต้น ไม้ฟืน
เรื่อง / ภาพ ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
เมืองไทยอยู่ในเขตร้อน ฤดูฝนสลับฤดูแล้งเด่นชัด ความหนาวเย็นมีปัญหาน้อยหากเทียบกับประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา หรืออินเดีย เนปาล หรือภูฏาน ผู้คนที่อยู่ในถิ่นที่มีความหนาวเย็นมันต้องการเชื้อเพลิง เพื่อหุงต้มและก่อไฟให้อบอุ่น ในอินเดียและเนปาลผู้คนทั้งชายและหญิง ใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงในการออกล่าหาฟืน กลับมาเก็บเข้าสต๊อกไว้เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เชื้อเพลิงนั้นมาจากกิ่งไม้ลำต้นไม้ ที่หาได้จากป่าหรือจากแนวไม้ยืนต้น ซึ่งทางหลวงปลูกเรียงรายกันตามถนนหลวง แนวต้นไม้นั้นกรมทางหลวงของอินเดีย เนปาล เขาปลูกต้นไม้หลายแถว เอาไว้ให้ประชาชนได้นำกิ่งไม้ลงมาเพื่อทำเชื้อเพลิง การปลูกต้นไม้จำนวนมากตลอดสองฟากถนนนี้ เราไม่เคยเห็นในประเทศไทย ทั้งๆ ที่รัฐบาลเรียกร้องรณรงค์ปลูกต้นไม้เพื่อลดโลกร้อน แต่กลับไม่เกิดผลในเชิงปฏิบัติ และในทางตรงกันข้ามบางหน่วยงานราชการกลับทำตัวขวางโลก ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ในเขตความรับผิดชอบลงอย่างไม่เห็นคุณค่า เราได้เห็นประจักษ์พยานมากมายตามทางหลวงหลายสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่เคยเห็นมีการคัดค้านกันแต่ประการใด
การปลูกต้นไม้เอาไว้ลิดกิ่งเพื่อทำเชื้อเพลิงนั้นถือเป็นแหล่งพลังงานหลักของหลายประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีผู้ประเมินไว้ว่ามีผู้คนมากกว่า 2,000 ล้านคนต้องพึ่งพาไม้ฟืนเพื่อเผาถ่านหรือก่อไฟโดยตรงเพื่อให้ความอบอุ่นและประกอบอาหาร ไม้สำหรับทำเชื้อเพลิงนั้นมีสัดส่วนถึง 93 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดในประเทศบุรุนดี 84 เปอร์เซ็นต์ในเฮติ และ 97 เปอร์เซ็นต์ในภูฏาน กล่าวกันว่าในประเทศกำลังพัฒนาประชาชนต้องการไม้ทำเชื้อเพลิงมากกว่าตัดไม้ไปทำอุตสาหกรรมไม้สูงถึง 8 เท่าตัวทีเดียว ปัจจุบันมีประชากรในส่วนต่างๆ ของโลกกว่า 1,300 ล้านคน ไม่อาจหาเชื้อเพลิงจากไม้ฟืนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างพอเพียง ในปี 2543 มีผู้คนเกือบ 3,000 ล้านคน อยู่ในภาวะขาดแคลนไม้ฟืน และใน พ.ศ. 2553 นี้แทบไม่ต้องพูดถึงก็ได้ว่าโลกกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤตขนาดไหน?
สุขภาพมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงจากไม้ฟืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหุงต้มประกอบอาหาร ซึ่งจะทำให้อาหารบางประเภทปลดปล่อยพลังงานออกมาให้มนุษย์ได้ อาหารหลายอย่างที่เก็บจากป่าหรือไร่นา อาจอยู่ในสภาพเป็นพิษ ถ้าไม่ผ่านความร้อนจากการหุงต้มเสียก่อน ที่เห็นได้ชัดๆ คือ มันสำปะหลัง กลอยบุก เมื่อเชื้อเพลิงหายากขึ้นผู้คนก็หุงต้มอาหารได้น้อยลง การต้มน้ำโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยลง รังแต่จะเพิ่มความเสี่ยงในการนำโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ โรคท้องร่วงเกิดจากน้ำปะปนมาด้วยเชื้อโรคทั้งไวรัส แบคทีเรีย และปรสิต นานาชนิดมันคร่าชีวิตเด็กๆ เสียราว 4 ล้านคน (อายุต่ำกว่า 5 ขวบ) ในแต่ละปี
ไม้ฟืนนั้นมีความจำเป็นสำหรับธุรกิจการค้าหลายอย่าง เช่น การอบแห้งใบชา การอบใบยาสูบ หรือแม้แต่การทำกระถางดินเผา เครื่องเคลือบงานเผาเซรามิกและอื่นๆ
การออกป่าหาไม้ฟืนใช้เวลานานขึ้นทุกปีทำให้เวลาที่จะใช้ประกอบการงานอื่นลดลงด้วย เป็นภาระอันใหญ่หลวงสำหรับผู้หญิงและเด็กในประเทศเนปาล อินเดีย ภูฏาน และทิเบต รวมทั้งทวีปแอฟริกาในอีกหลายประเทศ พวกนี้ต้องออกเดินวันละหลายกิโลเมตรเพื่อหาไม้ฟืน ป่าไม้ที่เคยอยู่ใกล้หมู่บ้านนั้นไม่มีต้นเหลือให้ตัดอีกแล้ว ผู้หญิงและเด็กหลายคนในอินเดีย หรือแม้แต่ผู้ชายในบังกลาเทศ อัสสัม ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะออกป่าหาตัดฟืนถูกเสือตะปบคาบไปกินเป็นจำนวนนับร้อยคนในแต่ละปี เพื่อหาไม้ทำฟืนได้ยาก ชาวบ้านในหลายประเทศหันหน้าไปหาเชื้อเพลิงชนิดอื่น ชาวบ้านในบังกลาเทศใช้ฟางข้าวสับรวมกับขี้วัว ขี้ควาย ในการเป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก บำรุงดิน และเป็นเหตุผลให้ผลผลิตลดลง
จากการศึกษาในเนปาล พบว่า การใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักนี้สามารถเพิ่มผลผลิตธัญพืชได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ (หนึ่งล้านตันต่อปี)
การปลูกต้นไม้หลายชนิดลงไปในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ที่ดินกันดารขาดน้ำ โดยอาจเลือกปลูกตามข้างทางเดิน ริมถนน ริมลำธาร หรือปลูกเป็นรั้ว อาจช่วยลดความต้องการไม้ฟืนลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จากการศึกษาในเคนยาเมื่อเร็วๆ นี้
ปลูกต้นไม้ด้วยสองมือของเรานี่แหละครับดีกว่าร่ำร้องกันในวิทยุ โทรทัศน์เป็นไหนๆ


