วิถีแห่งทะเลโคลน
เส้นทางที่ผมชอบไปมากที่สุดแห่งหนึ่งของบ้านเรา ก็คือเส้นทางอ่าวตัว “ก” ซึ่งรวมปากแม่น้ำ “บางปะกง” “เจ้าพระยา” “ท่าจีน” “แม่กลอง” และเพชรบุรี
โดย...จำลอง บุญสอง
เส้นทางที่ผมชอบไปมากที่สุดแห่งหนึ่งของบ้านเรา ก็คือเส้นทางอ่าวตัว “ก” ซึ่งรวมปากแม่น้ำ “บางปะกง” “เจ้าพระยา” “ท่าจีน” “แม่กลอง” และเพชรบุรี ที่ชอบไปนอกจากจะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล (โคลน) ที่อร่อยกว่าที่ไหนๆ แล้ว ยังได้ไปดูวิถีชีวิตที่หากินด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ด้วย “มือ” ซึ่งเป็นฐานรากของ “การเรียนรู้จริง” ในตัวมนุษย์อีกด้วย
ด้วยความที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ผมจึงเดินทางไปแถบนี้ได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หน้าหนาว” ที่มี “นกอพยพ” กับ “หน้าร้อน” ที่มีการทำ “เกลือสมุทร” ทั้งสองหน้าทำให้ผมสามารถถ่ายภาพนก ถ่ายภาพการตากอาหารทะเล และถ่ายภาพคน “หาบเกลือ” เป็นกองๆ เข้าไปอยู่ในโกดังได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ด้วยศักยภาพของร่างกายที่เต็มไปด้วย “กล้ามเนื้อ” ล้วนๆ ว่ากันว่าคนเหล่านี้ “ไม่เคยเจ็บป่วย” (เพราะออกกำลังกายตลอดเวลา) ทั้งๆ ที่แต่ละคนหาบเกลือกันเที่ยวละ 40-50 กก. หรือมากกว่าทั้งวัน (รับจ๊อบไปทุกๆ นาเกลือที่ “ต้องการแรงงาน”)
ด้วยการล่องเรือไปตามร่องน้ำ ไม่ว่า ท่าจีน แม่กลอง บางตะบูน (แม่น้ำเพชร) บ้านแหลม (แม่น้ำเพชร) ทำให้ได้พบกับการจับกุ้ง เคย ปลากระบอก ปลาดุกทะเล (จากกล่ำปลาดุก) เพื่อการเรียนรู้ ดูการคราดหอยลาย ดูการไถกระดานเพื่อเก็บหอยแครง รวมทั้งการเลี้ยงหอยแมลงภู่และหอยนางรมเป็นฟาร์มๆ อีกด้วย
ป่าชายเลนอันเกิดจากการไหลลงมาของฮิวมัสจากบนบก นอกจากจะช่วยให้แพลงก์ตอนเจริญเติบโตได้ดีแล้ว ยังเป็นอาหารของปู หอย ที่หากินอยู่ตามหน้าเลนอีกด้วย แพลงก์ตอนที่กินฮิวมัสเหล่านี้แหละที่กลายเป็นอาหารของกุ้ง ของเคย กุ้งและเคยก็คืออาหารของปลา ทำให้ปลาเล็กอ้วนพี เมื่อปลาเล็กอ้วนพี ปลาใหญ่ก็อ้วนพีตามไปด้วย (ปลาโลมาหรือวาฬที่เข้ามาหากินก็อ้วนตาม) ก็เพราะได้อาหารแห่งชีวิตที่ดีนี่แหละ จึงทำให้ “ปลาทูแม่กลอง” ขึ้นชื่อลือชา (ความจริงแล้วไม่ว่าคุณจะจับปลาทูที่ไหนในอ่าว “ก” อร่อยทุกจังหวัด เพราะเป็นปลาทูอ่าวเดียวกัน)
อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปทริปกับผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว คุณเบญจวรรณ สุเนตรวรกุล เพื่อไปท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้เรื่องเกลือตามเส้นทางสมุทรสงครามเพชรบุรี นอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกลือมาบรรยายแล้ว เรายังได้ลงพื้นที่ดูชาวบ้านหาบเกลือ ดูการใช้เกลือมาทำธุรกิจสปาอีกด้วย
การล่องเรือไปในอ่าว “ก” จากด้านคลองโคนทำให้หลายๆ คนสนุกสนานและได้ความรู้มาก แม้อากาศอาจจะร้อนไปสักหน่อยก็ตาม เส้นทางเส้นนี้นอกจากเป็นเส้นทางแห่งการเรียนรู้เรื่องเกลือ นก และวิถีชุมชนแล้ว ยังเป็น Scenic Route อีกด้วย (ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวยมาก)
เนื้อที่มีน้อยครับ ขออนุญาตเอารูปสวยๆ มาฝากท่านผู้อ่านก็แล้วกัน
สมพงษ์ หนูศาสตร์ ประธานกลุ่มอาชีพ “เกลือทะเลกังหันทอง” เจ้าของสปาเกลือ “ไอสปา” แห่งเดียวของ จ.เพชรบุรี ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ ท่องเที่ยว ว่า นอกจากจะทำผลิตภัณฑ์จากเกลือแล้ว จะทำพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับนาเกลือเป็นลำดับต่อไป พิพิธภัณฑ์จะแสดงวิถี “การทำนาเกลือ” ของชาวบ้าน จะทำ “ห้องอบเกลือ” คือนำเกลือไปโปะๆ เพื่อ “บำบัด” ไป “สูดไอความร้อน” แบบเดียวกับ “ถ้ำเกลือ” โดยจะขอเงินจากรัฐบาลมาทำ แต่ถ้าขอไม่ได้ก็จะใช้งบประมาณตัวเอง ตอนนี้ทำวิจัยเรื่อง “โคลนทะเล” ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อเอาไป “พอกตัว” เหมือนที่ “Dead Sea”
สาเหตุที่คิดจะทำพิพิธภัณฑ์ก็เพราะเห็นเด็กๆ ที่มาดูงานว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนาเกลือเลย และอุปกรณ์เก่าๆ ก็ไม่เคยเห็น แถมหายากมาก เช่น ลูกกลิ้งนาเกลืออันใหญ่แบบโบราณที่ใช้มือลาก ซึ่งถูกแทนที่ด้วย “รถเล็ก” ที่ใช้ “เครื่องยนต์” อุปกรณ์ เช่น “ตาเปี๊ยะ” ใช้เพื่ออุดน้ำ กั้นน้ำไม่ให้ไหลย้อนไปมา คนก็ไม่รู้จัก โดยจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์แบบชาวบ้าน ช่วงแรกๆ คงไม่ได้เก็บค่าเข้าชม
ที่บ้านจัดให้มีหมอนวดมาให้บริการก็เพราะลูกค้าต้องการ (ฝีมือนวดบางคนยอดมาก ผมลองมาแล้ว) เพิ่งเปิดนวดเมื่อต้นปีที่แล้ว ส่วนผลิตภัณฑ์เกลือสปามีมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว เริ่มจาก “เกลือขัดผิว” ต่อมาก็ผสม “ขมิ้น” ทำเพราะมี “โรงงานเกลือป่น” อยู่ จึงได้วัตถุดิบที่แตกต่างจากคนอื่น “เกลือขัดหน้า” ต้องใช้ “วัตถุดิบ” ที่ “ละเอียด” ไม่มีโรงงานเกลือป่นทำไม่ได้
ททท. มาทำเส้นทางท่องเที่ยวเกลือที่บ้านแหลมนั้นถือว่าดีมาก ตั้งแต่บางตะบูนเข้ามา มีหลายกิจกรรมที่ไม่ค่อยรู้กัน ทำให้มีคนเข้ามาเยี่ยมชมเราบ่อยขึ้น ชาวบ้านก็มีอาชีพ
(ใครสนใจเรื่องเกลือ เกลือสปา โทร.สอบถามได้ที่ 086-544-4473)
เบญจวรรณ สุเนตรวรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงการท่องเที่ยวกับเกลือว่า
“ตอนนี้ทำเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งอยู่ๆ เราจะจัดให้ไปที่โน่นไปที่นี่ก็ไม่มีลูกเล่น จึงนำเรื่องเกลือมาเล่นเป็นพระเอก นางเอก ซึ่งเกลือไม่ได้มีเฉพาะในจุดใดจุดหนึ่ง มีทั้งที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และที่เพชรบุรี เวลามาก็จะเรียนรู้ถึงวิธีการทำเกลือ การแปรรูปเกลือ และเป็นการไปท่องเที่ยวในแหล่งต่างๆ เป็นการ “ท่องเที่ยวไป เรียนรู้ไป” จะมีการผลิตเอกสารเรื่อง “เกลือกับการท่องเที่ยว” จะมีข้อมูลเกลือของ จ.น่าน รวมถึงเกลืออีสานด้วย
สาเหตุที่เลือกเกลือ เพราะคิดว่าถ้าทำเรื่อง “การเรียนรู้” ขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง เราอยากจะให้ครอบคลุมหลายจังหวัด เกลือก็แปรรูปได้ ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มาก จึงผูกเป็นเรื่องราวให้ผู้คนได้เรียนรู้ โดยไม่ให้ไปเปล่าๆ คือไปเที่ยวแล้วได้ความรู้ด้วย
นอกจากเกลือแล้วยังมีแหล่งเรียนรู้อื่นๆ อีก เช่น แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา แหล่งเรียนรู้ไดโนเสาร์ที่อีสาน โดย “สำนักส่งเสริมสินค้าฯ” ร่วมกับจังหวัดที่มีไดโนเสาร์ทำเรื่องนี้ ทำการ “ผูก” เรื่องราวต่างๆ เป็น “กิมมิก” เพื่อให้คนเรียนรู้ เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวที่เป็น “นักเรียน” และ “กลุ่มผู้เกษียณอายุ” มากขึ้น
เส้นทางชีวิตของเกลือ
ถ้าอีสานนับตั้งแต่โคราชไปจนถึง จ.อุดรธานี จะเป็นแหล่งเกลือสินเธาว์ใหญ่ที่สุดของประเทศแล้ว จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ไปจนถึงเพชรบุรี ก็เป็นแหล่งทำเกลือสมุทร (เกลือทะเลหรือเกลือหิน) ที่สำคัญที่สุดของประเทศเช่นกัน กระบวนวิธีการผลิตเกลือทะเลเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านริมทะเลมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะมี “ต้นทุน” ที่สูงขึ้น แต่การทำนาเกลือก็ยังทำรายได้ให้แก่ผู้ทำเป็นกอบเป็นกำอยู่ดี เพราะใครๆ ก็ “ใช้เกลือ” เพราะนอกจากจะใช้ปรุงรสแล้วยังอุดมไปด้วยไอโอดีนและแร่ธาตุอื่นๆ รวมแล้วถึง 24 ชนิด อีกต่างหาก (ในเกลือบริสุทธิ์มีแต่โซเดียมคลอไรด์) การผลิตเกลือสมุทรนอกจากจะต้องมีพื้นที่แล้ว ยังต้องใช้แสงแดดจากดวงอาทิตย์มาเผาผลาญน้ำทะเลให้ระเหยขึ้นในอากาศ เพื่อให้น้ำเค็มที่เหลือมีระดับความเข้มข้นที่มากขึ้น ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ระยะทาง 1-2 กม. ก่อนตกผลึกเป็นเม็ดเกลือใน “นาสุดท้าย” ที่อยู่ “ริมทาง” เพื่อให้ “คนงาน” ที่ควบคุมการขนส่งและการจ่ายค่าแรง ด้วย “พ่อแรง” หรือ “แม่แรง” ขนเข้าสู่โกดังเกลือเพื่อให้รถขนส่งขนาดใหญ่สามารถขนออกไปจำหน่ายได้โดยสะดวก ทั้งหมดใช้พื้นที่ประมาณ 30-35 ไร่
“นาขัง” คือพื้นที่นาที่อยู่ใกล้ทะเลเพื่อง่ายต่อการ “สูบ” “น้ำอ่อน” เข้ามาเพื่อให้ “แดดเผา”
“นายืน” คือพื้นที่นาที่มีการสูบน้ำทะเลที่เข้มขึ้น ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ (กรณีที่พื้นที่มีไม่ต่อเนื่องกัน เจ้าของนาต้องใช้วิธีสูบน้ำสลับกันไปมา เรียกว่า “นาวน”) รวมแล้วถึง 5 ทอด แต่เดิมชาวนาเกลือใช้ “กังหันลม” วิดน้ำ ต่อมาใช้ “เครื่องสูบ” สูบน้ำแทน เพราะเร็วกว่า แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากกว่า
การทำนาเกลือเตรียมกันช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ช่วงฝนหมด ไขน้ำเข้าสู่ “นาตาก” ประมาณเดือน พ.ย. หลังจากนั้นสูบน้ำเข้าสู่ “นาแผ่” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 3 ให้แดดเผาจนได้ระดับความเค็ม 22-24 ดีกรี จึงสูบเข้าสู่นาส่วนที่ 4 ที่เรียกว่า นาวาง หรือนาปลง ให้แดดเผาจนเข้มเพื่อสูบเข้าสู่ส่วนที่ 5 ที่เรียกว่า “นาดอก” ที่จะแปรสภาพเป็น “เม็ดเกลือ” ที่มีค่าความเค็มประมาณ 82-87% รวมระยะเวลา 4-6 เดือน ตาม “ความชื้น” “อุณหภูมิ” ซึ่งเป็นเรื่องของ “แดด” “ลม” และ “ฝน” ของแต่ละปี


