พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพวศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ เจ้าจอมมารดามรกฎ ธิดาของเจ้าพระยาหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ประสูติเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2425 ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วเสด็จไปทรงศึกษาทางด้านการเกษตรที่สหราชอาณาจักร ทรงสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2446 ขณะมีพระชนมายุ 20 พรรษา
หลังจากกลับมายังประเทศไทยแล้วได้ทรงเข้ารับราชการ เป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างที่ทรงรับราชการอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ได้เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ และที่เชียงใหม่พระองค์ได้ทรงพบกับเจ้าหญิงชมชื่น ณ เชียงใหม่ ธิดาวัยแรกรุ่นผู้งดงาม ของเจ้าราชสัมพันธวงศ์ ธรรมลังกา ณ เชียงใหม่ กับเจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน ทรงต้องพระทัยจึงโปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพไปเจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทานเนื่องจากผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงเกี่ยงงอนขอให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เสกสมรส เพราะเกรงว่าธิดาจะมิได้เป็นชายาเอก จึงทำให้พระองค์ไม่ทรงสมหวังในรักแรกพบ จึงเสด็จกลับพระนครอย่างเศร้าโศกและผิดหวัง เนื่องจากพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ ทรงสนพระทัยและมีความสามารถในทางดนตรีไทย ระหว่างทางเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระองค์จึงได้ทรงนิพนธ์เพลงลาวดำเนินเกวียนขึ้นด้วยความอาลัยรักในสาวเชียงใหม่ อันเป็นเพลงไทยเดิมที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในชื่อลาวดวงเดือนในปัจจุบัน และมีเสียงเล่าสืบต่อกันว่า เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงนี้ขึ้นมาตลอดพระชนม์ชีพ
เมื่อเสด็จกลับพระนครแล้ว พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ก็ได้รับพระราชทานเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงวรรณวิลัย กฤดากร พระธิดาในพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2446 พร้อมกับที่ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมช่างไหม พระองค์แรก ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากปี พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยให้อุดหนุนการทำไหมและทอผ้าของประเทศ โดยได้ว่าจ้าง ดร.คาเมทาโร่ โทยะม่า จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ทดลองเลี้ยงไหมตามแบบฉบับของญี่ปุ่น สอนและฝึกอบรมนักเรียนไทยในวิชาการเลี้ยงและการทำไหม พร้อมกับสร้างสวนหม่อนและสถานีเลี้ยงไหมขึ้นที่ ต.ศาลาแดง กรุงเทพฯ ทรงจัดตั้งกองช่างไหมขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ ต่อมา วันที่ 30 ก.ย. 2446 กระทรวงเกษตราธิการได้รวมกองการผลิต กองการเลี้ยงสัตว์ และกองช่างไหม ตั้งขึ้นเป็น “กรมช่างไหม” โดยมี พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นอธิบดีกรมช่างไหมพระองค์แรก
โทยะม่าเริ่มต้นด้วยการเดินทางไปตรวจดูการทำไหมที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไหมของไทยในขณะนั้น ก่อนจะเดินทางกลับมากรุงเทพฯ แล้วรายงานว่าการทำไหมของไทยล้าหลังเพราะพันธุ์ไม่ดี ทำให้รังไหมมีเนื้อน้อย ทั้งเครื่องมือสำหรับสาวไหมก็เป็นเครื่องมือที่หยาบทำให้คุณภาพไหมต่ำ พร้อมกันนั้นโทยะม่าก็ได้เสนอให้รัฐบาลไทยปรับปรุงการเลี้ยงไหมใหม่เป็นครั้งใหญ่ ทั้งนี้นับตั้งแต่การทดลองผสมพันธุ์ไหมขึ้นใหม่ระหว่างพันธุ์ไทยกับพันธุ์ญี่ปุ่น การสั่งซื้อเครื่องกรอไหม และเครื่องมือต่างๆ จากญี่ปุ่น ตลอดจนแนะนำให้รัฐบาลไทยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นให้เข้ามาฝึกสอนและให้รัฐบาลไทยจัดหานักเรียนที่เฉลียวฉลาดมาศึกษาเรื่องการทำไหมด้วย
ในระยะเริ่มทดลอง โทยะม่าเริ่มปลูกต้นหม่อนขึ้นที่ ต.สระปทุม ก่อนที่จะขยายไปถึงท้องทุ่งใกล้สวนดุสิต นครราชสีมา และ จ.บุรีรัมย์ ในเวลาต่อมาโทยะม่ามีส่วนเป็นอย่างมากในการแนะนำรัฐบาลไทยเกี่ยวกับวิธีการเพราะปลูกต้นหม่อน การเลือกพันธุ์ไหมที่ดี และวิธีทำไหมกับวิธีการกรอไหมที่ก้าวหน้า
ถึงปี พ.ศ. 2447 รัฐบาลไทยก็ได้เปิดโรงเรียนสอนทำไหมขึ้นที่ ต.สระปทุม โดยมีโทยะม่าเป็นอาจารย์ใหญ่
โรงเรียนสอนทำไหมเกิดขึ้นก็เพราะพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ อธิบดีกรมช่างไหมไทยในขณะนั้น เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรฝึกฝนคนไทยให้รู้จักการทำไหมขึ้นทดแทนผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นในเวลาต่อไปข้างหน้า ด้วยเป็นการสิ้นเปลืองมากถ้าหากว่าจะจ้างอยู่ตลอดไป แต่อย่างไรโรงเรียนทำไหมในระยะแรกๆ ครูผู้สอนนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด และแม้ว่าต่อมาโทยะม่าจะได้ลาออกและเดินทางกลับไปญี่ปุ่นเพราะปัญหาสุขภาพ โรงเรียนสอนทำไหมแห่งนี้ก็ได้เจริญก้าวหน้าเรื่อยมาเป็นลำดับ จนกระทั่งต่อมากรมช่างไหมได้ขยายการสอนการสาวไหมแบบทันสมัยนี้ออกไปให้แก่ชาวอีสานในหลายอำเภอด้วยกัน ดังนั้นผู้ที่ฝึกสอนการทำไหมใน อ.สุวรรณภูมิ พยัคฆภูมิพิสัย รัตนบุรี และ พุทไธสง พนักงานทั้งใน 4 อำเภอนี้ล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น
นอกเหนือไปจากโทยะม่ากับเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่มีส่วนในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมไหมไทยแล้ว โยโกตะ โฮะโซะยะ (Hosoya) ก็นับเป็นอีกคนที่นับว่ามีบทบาทสำคัญอยู่ในกรมช่างไหม ในเวลาต่อมาเมื่อได้มีการขยายงานออกไปยังจังหวัดภาคอีสาน โยโกตะและเพื่อนชาวญี่ปุ่นได้รับมอบหมายจากพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ อธิบดีกรมช่างไหมไทยในขณะนั้น ให้เป็นผู้สร้างสวนหม่อนขึ้นในเนื้อที่ 170 ไร่ ใน จ.นครราชสีมา และต่อมาอีกแห่งหนึ่งในเนื้อที่ 100 ไร่ ที่ จ.บุรีรัมย์ โดยเฉพาะที่ จ.บุรีรัมย์ ทั้งคู่ได้ช่วยกันฝึกสอนชาวไทยทั้งชายและหญิงที่เป็นนักเรียนเลี้ยงไหมจำนวนมากนับร้อยคน
ต่อมาภายหลังได้มีการรวมโรงเรียนช่างไหมเข้ากับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เนื่องจากงานเกี่ยวกับกรมช่างไหมน้อยลง พร้อมกันสัญญาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นก็หมดลงด้วย และรัฐบาลไทยก็มิได้ต่ออายุสัญญาอีก ก็เพราะว่ามีผู้เชี่ยวชาญคนไทยเพียงพอแล้วในขณะนั้น ต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ในปี พ.ศ. 2451 พระองค์ทรงมีวังนี้ประทับเป็นบ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ผู้เป็นตามีชื่อเรียกว่าวังท่าเตียน พระองค์ทรงโปรดดนตรีไทยและทรงโปรดให้มีวงปี่พาทย์วงหนึ่ง เรียกกันว่า วงพระองค์เพ็ญ ทรงเล่นดนตรีได้หลายชนิด และทรงเป็นนักแต่งเพลงที่มีความสามารถ วังที่ประทับของพระองค์ที่ท่าเตียนมีโรงละครอยู่โรงหนึ่ง ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ปริ๊นเทียร์เตอร์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม สิ้นพระชนม์ด้วยโรคปอดเรื้อรังในปี พ.ศ. 2453 ด้วยพระชนมายุ 28 พรรษา ทรงมีพระธิดากับหม่อมเจ้าวรรณวิลัยกฤดากร 1 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าหญิงพรรณเพ็ญแข เพ็ญพัฒน์ และทรงมีโอรสกับหม่อมเทียม คชเสนี 1 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าเผ่าเพ็ญพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ ธิดาของพระองค์หม่อมเจ้าหญิงพรรณเพ็ญแขนั้น นับเป็นหม่อมเจ้าหญิงพระองค์แรกที่ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อเสกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์ บรรลือศักดิ์ กฤดากร โอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และมีบุตรชายที่เป็นที่รู้จักในสังคมไทยในปัจจุบัน คือ หม่อมหลวงเพ็ญศักดิ์ กฤดากร ซึ่งสมรสกับมยุรี สุขุม หลานปู่ของพระยาสมบัติภิรมย์ ผู้เป็นพี่ชายของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) แต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน ต่อมาหม่อมหลวงเพ็ญศักดิ์ จึงได้สมรสอีกครั้งกับ จุฑามาศ สุคนธา มีบุตรธิดา 3 คน ส่วนหม่อมเจ้าเผ่าเพ็ญพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ ทรงเสกสมรสกับ หม่อมหลวงพอจิต ปัทมสิงห์ มีบุตรธิดา 3 คน


