พระพุทธบาท สระบุรี ศูนย์กลางศรัทธาของประชาชนชาวไทย
พระพุทธศักราช 2555 ปีที่ประชาชนชาวพุทธฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี
โดย...สมาน สุดโต
พระพุทธศักราช 2555 ปีที่ประชาชนชาวพุทธฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยประเทศไทยจัดฉลองตั้งแต่วันมาฆบูชา 7 มี.ค. เรื่อยไปจนกระทั่งฉลองใหญ่ปลายเดือน พ.ค.4 มิ.ย. อันเป็นวันวิสาขบูชา ทั้งนี้เพราะประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของชาวโลกว่าเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา ด้วยประชาชนชาวไทยร้อยละ 95 นับถือพระพุทธศาสนา
พระพุทธบาท
การที่ประเทศไทยมีผู้นับถือพระพุทธศาสนามาก จึงมีพุทธสถานและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กระจายทั่วประเทศ ในจำนวนนั้น ได้แก่ พระพุทธบาท จ.สระบุรี ที่บรรพบุรุษตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหน ต้องมาบูชาสักครั้งหนึ่งในชีวิต
การเดินทางของบรรพบุรุษสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อบูชาพระพุทธบาทมีบันทึกไว้ในพงศาวดารเฉพาะการเสด็จของพระราชามหากษัตริย์ ส่วนภาคประชาชนนั้นไม่พบบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (หรืออาจมีแต่คงถูกไฟไหม้ เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310) ล่วงมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ แต่งนิราศพระบาทมีความยาวถึง 462 คำกลอน บรรยายการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปพระพุทธบาท โดยเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เมื่อวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ 2350
ตำหนัก
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระราชามหากษัตริย์เสด็จพระพุทธบาท จะมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่เป็นถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น ตำหนักที่ประทับยังมีให้เห็น เช่น พระราชวังท้ายพิกุลอยู่ติดกับกำแพงพระพุทธบาท ทางทิศตะวันตก สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เพื่อเป็นที่ประทับเมื่อเสด็จมานมัสการพระพุทธบาท แต่ปัจจุบันเหลือแต่ร่องรอย แม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นสร้างใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 และคงอยู่ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ตาม แต่ก็ชำรุดหักพังไปตามกาลเวลา ณ ที่นี่จะพบท่อน้ำประปาดินเผาสมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่ด้วย
นอกจากนั้น ยังมีตำหนักธารเกษมห่างจากพระพุทธบาท 1.5 กิโลเมตร ตำหนักนี้สร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (2172-2199) ที่สร้างขึ้นก็เพื่อหลีกหนีเสียงอึกทึกจากการสมโภชพระพุทธบาท ส่วนที่ตั้งตำหนักอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณ พร้อมทั้งธารน้ำไหล สมกับเป็นที่รื่นรมย์ จึงเป็นที่ประทับของกษัตริย์หลายพระองค์ด้วยกันในระยะต่อมา
นอกจากนั้น ก็มีตำหนักสระยอสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยลอกเลียนแบบจากตำหนักธารเกษม ตำหนักนี้ห่างจากพระพุทธบาท 1 กิโลเมตร
ถนนฝรั่งส่องกล้อง
นอกเหนือจากตำหนักแล้ว ยังมีถนนที่อีกสายหนึ่งมีชื่อว่า ถนนพระเจ้าทรงธรรม หรือถนนฝรั่งส่องกล้อง มาจาก อ.ท่าเรือ ผ่าน อ.บ้านหมอ และ อ.พระพุทธบาท รวมระยะทางจากพระราชวังหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มาตามแม่น้ำป่าสักมาที่ปราสาทนครหลวง ท่าเจ้าสนุกถึงตำหนักธารเกษม รวมระยะทาง 66 กิโลเมตร
ที่เรียกว่าถนนฝรั่งส่องกล้องก็เนื่องด้วยฝรั่งนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสำรวจเข้ามาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม พระองค์จึงโปรดให้ทำงานชิ้นนี้ขึ้น ปัจจุบันกรมศิลปากรสำรวจแล้วพบร่องรอยถนนเดิมเหลือเป็นบางจุดเป็นถนนดินเลาะไปตามทุ่งนา และบ้านเรือนราษฎร และบางช่วงเป็นถนนสายพระพุทธบาท บ้านหมอ บางช่วงเป็นถนนดินลูกรัง และบางช่วงก็หายไป
ที่เล่าถึงร่องรอยตำหนักและถนน เพื่อบอกเห็นว่าพระพุทธบาทนั้นมีความสำคัญสูงส่งขนาดไหน พระราชามหากษัตริย์ยังสร้างตำหนัก เพื่อทรงประทับระหว่างเสด็จมาบูชาอย่างต่อเนื่อง
เทศกาลคนแน่น
ส่วนประชาชนคนธรรมดา แม้จะไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์บันทึกการเดินทางทั้งถาวรวัตถุและเอกสาร นอกจากสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีนิราศของสุนทรภู่ตามที่กล่าวแล้ว แต่พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาถือว่าเป็นภารกิจอย่างหนึ่งที่ต้องมาบูชาเมื่อถึงเทศกาลไหว้พระบาท ทั้งพระและฆราวาส (ส่วนมากมาจากจังหวัดในภาคกลาง) จะแน่นบริเวณพุทธบาท แม้ว่าการเดินทางมาจะลำบากแค่ไหนก็ยอม เช่น พระสงฆ์ เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว ก็ออกธุดงค์จากวัดที่จำพรรษามายังพุทธบาท ให้ทันฤดูไหว้พระพุทธบาท (คือตั้งแต่ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จนถึงแรม 1 ค่ำ และตั้งแต่ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 จนถึงแรม 1 ค่ำ)
ที่ตั้งพระพุทธบาท
พระพุทธบาท ตั้งอยู่ที่ ต.ขุนโขลน ห่างจากตัว จ.สระบุรี ประมาณ 28 กิโลเมตร เป็นรอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้บนแผ่นหินเหนือไหล่เขาสุวรรณบรรพต หรือเขาสัจจพันธคีรี ลักษณะของรอยพระบาทคล้ายเท้าคนกว้าง 21 นิ้ว ยาว 5 ฟุตลึก 11 นิ้ว ค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
ก่อนการค้นพบรอยพระพุทธบาทนั้นเล่าว่า พระสงฆ์ไทยสมัยอยุธยามีศรัทธาแก่กล้าเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ที่ประเทศศรีลังกา ทั้งนี้เพราะนับถือกันว่าพระพุทธบาทนั้นเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังไม่รู้จักการสร้างพระพุทธรูป (การสร้างพระพุทธรูปเริ่มในสมัยพระเจ้ากนิษกะ ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 600) เมื่อพระไทยไปศรีลังกา ก็ได้ข้อมูลว่าที่เมืองไทยก็มีพระพุทธบาทเช่นกัน เมื่อกลับกกรุงศรีอยุธยาจึงถวายรายงานพระมหากษัตริย์ จะเป็นบุญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบพรานล่าเนื้อชื่อพรานบุญ ตามเนื้อที่ยิงแล้ววิ่งหนีไป เมื่อตามเนื้อที่ถูกยิงพบว่าหายจากการบาดเจ็บ ดูรอยเท้าพบว่าเนื้อนั้นกินน้ำในแอ่งที่ภูเขา แอ่งนั้นคือรอยพระพุทธบาท เมื่อความทราบถึงพระเจ้าทรงธรรม พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นรอยพระบาทตามลักษณะ 108 ประการ จึงโปรดฯ ให้สร้างมณฑปชั่วคราว ครอบรอยพระบาทไว้
มณฑป
ต่อมาได้มีการสร้างต่อเติมกันอีกหลายสมัย ลักษณะของพระมณฑป เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบเครื่องยอดรูปปราสาท 7 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีซุ้มบันแถลงประดับทุกชั้น มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองประดับกระจกรับโดยรอบ ฝาผนังด้านนอกปิดทองประดับกระจก เป็นรูปเทพพนม มีพุ่มข้าวบิณฑ์ บานประตูพระมณฑปเป็นงานศิลปกรรมประดับมุกชั้นเยี่ยม ของเมืองไทย ทางขึ้นพระมณฑปเป็นบันไดนาคสามสาย ซึ่งหมายถึง บันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว ที่ทอดลงจากสวรรค์
หัวนาคที่เชิงบันไดหล่อด้วยทองสำริด เป็นนาค 5 เศียร บริเวณรอบมณฑปมีระฆังแขวนเรียงราย เพื่อให้ผู้ที่มานมัสการได้ตีเป็นการแผ่ส่วนกุศลแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย พระอุโบสถและพระวิหารต่างๆ ที่อยู่รายรอบ ล้วนสร้างตามแบบศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา และตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์
มณฑปทาบทอง
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2275-2301) โปรดเกล้าฯ ให้นำทองที่พบจาก ต.บางสะพาน เมืองกุย (ปัจจุบันอยู่ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์) พ.ศ. 2291 แผ่นทองประทากล้องขึ้นไปปิดพระมณฑปพระพุทธบาทตั้งแต่ยอดถึงชั้นเหม รวมทั้งนาคและที่สำคัญ คือโปรดให้เอาทองคำไปหล่อเป็นรูปพระพุทธบาทและดอกบัวขนาดใหญ่ ดอกบัวนี้ใช้สำหรับประดับพระพุทธบาทในเวลาแห่รอบพระราชวังหลวงซึ่งสันนิษฐานว่า พระพุทธบาททองคำจำลองและดอกบัวทองคำนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศคงจะทรงนำไปสวมครอบรอยพระพุทธบาท และถวายเป็นพุทธบูชาไว้ที่พระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพต (จ.สระบุรี)
พระเจ้าอุทุมพรหรือพระบรมราชาธิราชที่ 4 หรือกรมขุนพรพินิต โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์หลังคาพระมณฑปพระพุทธบาท พ.ศ. 2301 โดยหุ้มทองสองชั้นเป็นจำนวนสองร้อยสี่สิบชั่ง รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พ.ศ. 2301-2310) ได้เสด็จขึ้นไปสมโภชพระพุทธบาท
จีนปล้นทอง
ต่อมา พ.ศ. 2304 พม่ายกทัพตีกรุงศรีอยุธยา กองจีนที่รับอาสารบกับพม่าที่ตั้งกำลังอยู่ที่ ต.คลองสวนพลู คิดไม่ซื่อ ยกพวกไปทำลายพระพุทธบาทลอกเอาทองคำที่หุ้มองค์พระมณฑปน้อย ซึ่งสวมรอยพระพุทธบาทออกพร้อมกับนำเอาแผ่นเงินที่ปูลาดพื้นพระมณฑปไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวกับทั้งเผาองค์พระมณฑปด้วย ทำให้พระมณฑปเสียหาย ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ. 2310-2324) แม้ว่าพระองค์จะมิได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทด้วยมีการสงครามมาก พระองค์ก็มีพระราชศรัทธาโปรดให้ทำหลังคามุงกระเบื้องกั้นพระพุทธบาทไว้ และโปรดให้พระยาราชสงครามแม่กองปรุงตัวไม้เครื่องบนพระมณฑปไว้ แต่ยังมิแล้วเสร็จ ก็เปลี่ยนรัชกาล
สมัยรัตนโกสินทร์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. 2325-2352) เสด็จขึ้นครองราชย์โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระอนุชาเสด็จขึ้นไปเป็นแม่กองยกพระมณฑปพระพุทธบาท พ.ศ. 2325 ครั้งนั้นกล่าวว่าทรงมีพระราชศรัทธารับแบกตัวลำยองเครื่องบนตัวหนึ่ง เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทตั้งแต่ท่าเรือขึ้นไปจนถึงพระพุทธบาททีเดียว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทถึง 4 ครั้ง พ.ศ. 2415 2425 2445 และ 2449 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระมณฑปจนแล้วเสร็จ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกยอดพระมณฑปพระพุทธบาท พ.ศ. 2456
การปฏิสังขรณ์พระพุทธบาท ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสโร) เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม กรุงเทพฯ เมื่อครั้งท่านดำรงสมณศักดิ์เป็นพระรัชมงคลมุนี ได้ดำเนินการต่างๆ ตั้งแต่เปลี่ยนยอดพระมณฑปจากเครื่องไม้เป็นคอนกรีต ผนังเขียนลายพระเกี้ยวเป็นลายทอง บานประตูด้านหลังเขียนลายเซี่ยวกาง ซ่อมลายดาวเพดาน ประดับกระจกที่พระมณฑปน้อย ซ่อมวิหารหลวง ศาลาเปลื้องเครื่อง เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธบาทเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2495 ทรงประกอบพระราชพิธียกพระจุลมงกุฎยอดพระมณฑปพระพุทธบาท
เสื่อเงินสาน
บนพื้นภายในพระมณฑป ล้อมรอบรอยพระพุทธบาท ปูลาดด้วยเสื่อเงินมาแต่ครั้งสมัยอยุธยาเดิมเป็นเสื่อเงินที่เป็นแผ่นเงินเรียบๆ ขอบจะม้วนกลมแบบถักขอบคล้ายกับทำเลียนแบบพรมเปอร์เซียเป็นที่นิยมในราชสำนักมาแต่โบราณ โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการประดิษฐ์เสื่อเงินสานและใช้สืบมาจนปัจจุบัน แม้มีการซ่อมใหม่ก็ยังคงทำแบบเสื่อสานเช่นเดิม การใช้เสื่อเงินสานปูลาดพื้นยังปรากฏที่ปราสาทพระเทพบิดร ในพระบรมมหาราชวังด้วย
ปัจจุบันประชาชนชาวไทยทุกท่านที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนายังเดินทางไปไหว้พระพุทธบาทกันเป็นประจำ เพราะการเดินทางสะดวกกว่าสมัยก่อนมาก พระพุทธบาทจึงคงเป็นศูนย์ศรัทธาแห่งชาวพุทธตราบเท่าทุกวันนี้


