เยี่ยมเมืองน้องใหม่สักการะ 7 สิ่งศักดิ์สิทธิ์
สองนางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อใหญ่ แหล่งน้ำใสหนองกุดทิง
โดย...ญาณิกา / สุนันทา หามนตรี
“สองนางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อใหญ่ แหล่งน้ำใสหนองกุดทิง สุดใหญ่ยิ่งแข่งเรือยาว หาดทรายขาวเป็นสง่า น่าทัศนาแก่งอาฮง งามน้ำโขงที่บึงกาฬ สุขสำราญที่ได้ยล” คำขวัญประจำจังหวัดนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูใครๆ สักเท่าไหร่ เพราะนี่คือจังหวัดที่ 77 แยกตัวจากจังหวัดใหญ่อย่างหนองคาย นั่นคือ “บึงกาฬ” จังหวัดล่าสุดของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของดินแดนถิ่นอีสานบ้านเรา
จังหวัดน้องใหม่แห่งนี้อุดมไปด้วยความงามของธรรมชาติผืนน้ำและขุนเขาน้อยใหญ่มากมาย ที่พรั่งพรูไปด้วยวัฒนธรรมประเพณีของคนสองฝั่งโขง ที่เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับแขวงลิคำไซของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พื้นที่แห่งนี้จึงแฝงไปด้วยความสงบและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามวิถีชาวบ้านของผู้คน แต่ที่หนีไม่พ้นสถานรวบรวมจิตใจในความเชื่อและศรัทธาของคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านศรัทธา
เพื่อเป็นการทำความรู้จักจังหวัดนี้ให้มากขึ้น เราจะเริ่มจากการเดินสายไปสักการะ 7 สิ่งศักดิ์สิทธิ์มิ่งมงคลของบึงกาฬจะดีเสียกว่า บรรยากาศตอนบ่ายโมงกว่าๆ พร้อมสายฝนที่บึงกาฬ เวลาลมพัดจะมีหยดน้ำมากระทบใบหน้าเป็นระลอก ช่างเป็นอากาศที่หนาวๆ เย็นๆ ที่น่านอนที่สุด ที่ วัดโพธารามบ้านท่าไคร้ ใน อ.เมืองบึงกาฬ เป็นที่แรกที่มีชื่อ หลวงพ่อใหญ่ อยู่ในคำขวัญของจังหวัด ด้วย “หลวงพ่อใหญ่” พระพุทธรูปศิลปะสมัยล้านช้าง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบนี้เป็นที่เลื่อมใสของผู้ที่มากราบไหว้ โดยเชื่อกันว่าผู้ที่มากราบไหว้จะพบกับความรุ่งเรือง มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต มีโชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย ที่มีผู้คนทยอยมานมัสการอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งในอุโบสถจะให้ผู้ชายเท่านั้นเข้าไปกราบไหว้ สำหรับการสักการะมีดอกไม้ ธูปเทียน และบนบานด้วยบั้งไฟ ตะไล ด้านลานหญ้าข้างวัดหากใครบนบานสานกล่าวไว้แล้วได้ตามสิ่งที่ขอ ต้องแก้บนด้วยวิธีการจุดบั้งไฟเล็กที่มีจำหน่ายภายในวัดเป็นการแก้บน
หลังจากกราบไหว้หลวงพ่อใหญ่เสร็จแล้ว รถมุ่งหน้าสู่ตลาดบึงกาฬ ใกล้ๆ กับตลาดบริเวณวงเวียนหน้าโรงพยาบาลบึงกาฬเป็น ศาลเจ้าแม่สองนาง ที่ผู้คนแถบลุ่มน้ำโขงทั้งฝั่งลาวและไทยให้ความเคารพบูชา เชื่อกันว่าเจ้านางสองเป็นธิดาของกษัตริย์ประเทศลาวพี่และน้องประสบอุบัติเหตุเรือล่มเสียชีวิต และกลายเป็นพญานาคีปกปักรักษาผู้คนแถบลุ่มน้ำโขง ชาวบ้านนิยมสักการะเพื่อขอให้การค้าขายรุ่งเรือง การเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยโดยเฉพาะทางน้ำ ใช้ดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัย น้ำมะพร้าวอ่อนและน้ำแดงในการสักการะ
วัดใต้ หรือ วัดศรีโสภณธรรมทาน เป็นวัดที่ชาวบ้านและชุมชนบริเวณใกล้เคียงเลื่อมใสศรัทธา สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธโสภณมงคลใต้เป็นพระพุทธรูปสมัยล้านช้าง เนื้อทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัย ซึ่งจะเป็นลักษณะเดียวกับหลวงพ่อพระใส จ.หนองคาย พระพุทธรูปเก่าแก่สมัยล้านช้างอีก 3 องค์ และรูปปั้นหลวงพ่อเมฆ (อดีตเจ้าคณะอำเภอบึงกาฬ) เป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนิยมขอพรให้อยู่เย็นเป็นสุข
หากท่านใดต้องการความเจริญก้าวประสบความสำเร็จในด้านการงานและแคล้วคลาดปลอดภัย พลาดไม่ได้ที่จะต้องมากราบไหว้ หลวงพ่อวัดกลาง ที่ วัดบุพราชสโมสร (วัดกลาง) เป็นพระพุทธรูปโบราณก่ออิฐปูน ศิลปะล้านช้าง หน้าตัก 59 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสอีกองค์หนึ่ง ชาวบ้านนิยมมากราบไหว้สักการะโดยใช้ธูปเทียน ดอกไม้ และพวงมาลัย
ตอนนี้เรามาถึงการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดที่ห้าแล้ว วัดนี้ชื่อ วัดสามัคคีอุปภัมป์ (วัดภูกระแต) เป็นอีกหนึ่งวัดที่อยู่ใน อ.เมืองบึงกาฬ เหมือนกัน หลวงพ่อทองพูน สิริกาโม เจ้าคณะจังหวัดหนองคายเป็นพระสายกรรมฐานรุ่นแรก สายอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ เป็นพระที่มีเมตตาบารมีสูง ผู้คนนิยมกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และภายในศาลาการเปรียญชาวบ้านนิยมเดินทางไปเพื่อกราบขอพรจากพระสังกัจจายน์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอให้ค้าขายรุ่งเรือง อยู่เย็นเป็นสุข เป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 30 นิ้ว
แหล่งปฏิบัติธรรมที่น่าเลื่อมใสอีกแห่งหนึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ หลวงพ่อศิลา ที่ วัดป่าบ้านพันลำ ต.วิศิษฐ์ เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรที่แกะสลักขึ้นจากหิน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในแถบนี้ มีความเชื่อว่าถ้ามากราบไหว้บูชาแล้วจะได้โชคลาภและแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายต่างๆ และท้ายสุดที่ วัดอาฮงศิลาวาส บ้านอาฮง ต.ไคสี วัดอาฮง ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขงห่างจาก อ.เมืองบึงกาฬ 21 กิโลเมตร บริเวณวัดกว้างขวางและสวยงามเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธคุวานันท์ศาสดา” หล่อด้วยทองเหลือง ลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช และบริเวณผนังโบสถ์ด้านบนมีพระพุทธรูปทองคำอยู่ 2 องค์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในแถบนี้ ชาวบ้านมีความเชื่อในด้านเมตตามหานิยมและให้โชคลาภ ในบริเวณวัดจะมีรูปปั้นของเทพธิดาสะดือแม่น้ำโขง ชาวบ้านมักจะมาบนบานขอพรในด้านความรัก โชคลาภ โดยการจุดธูป 2 ดอก บนบานด้วยดอกไม้ พวงมาลัย ลิปสติก น้ำหอม เครื่องประดับสตรี เป็นต้น เชื่อกันว่าลำน้ำโขงบริเวณหน้าวัดเป็นจุดที่ลึกที่สุดในแม่น้ำโขง หรือเรียกกันว่า “สะดือแม่น้ำโขง” ได้เคยมีการวัดโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินแล้วหย่อนลงไปได้ถึง 98 วา ในฤดูน้ำหลากกระแสน้ำจะไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ส่วนหน้าแล้งในเดือน มี.ค. ไปจนถึงเดือน พ.ค. ในตำนานเล่ากันว่า บริเวณสะดือแม่น้ำโขงจะมีถ้ำใต้โขดหินฝั่งประเทศลาว เป็นที่อยู่ของปลาบึก ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดอาฮงศิลาวาส และเป็นที่ชุมนุมของเหล่าพญานาคในวันเทศกาลออกพรรษาเพื่อทำบุญบั้งไฟเป็นพุทธบูชาร่วมกับมนุษย์ จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และทำให้บริเวณนี้มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นจำนวนมาก
หลังจากเดินสายกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบึงกาฬครบทั้ง 7 แห่งแล้ว ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ของบึงกาฬที่ขาดไม่ได้คือ ภูทอก เป็นภาษาอีสาน แปลว่า ภูเขาโดดเดี่ยว อยู่ในเขตบ้านคำแคน ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล เป็นลักษณะภูเขาหินทรายมองเห็นได้แต่ไกล ประกอบด้วย ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย แต่ก่อนบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เข้ามาจัดตั้งเป็นสถานปฏิบัติธรรมเนื่องจากเป็นสถานที่ที่สงบมาก
ภูทอกน้อย เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก โดยต้องเดินไปตามสะพานไม้เวียนรอบเขาสูงชันจนถึงยอด บันไดที่ขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกิยะสู่โลกแห่งการหลุดพ้นด้วยความเพียรพยายามมุ่งมั่น ภูทอกยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน บันไดขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น โดยชั้นที่ 12 เป็นบันไดสู่ขั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพป่ารกครึ้ม มีโขดหิน ลานหินสุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง ทางซ้ายจะลัดไปสู่ชั้น 5 ได้เลย แต่ลักษณะทางชันมาก ต้องผ่านอุโมงค์มืด ทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้น 4
บนชั้น 4 เป็นสะพานลอยเวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเป็นเนินเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” บนชั้นที่ 4 แห่งนี้จะเป็นที่พักของแม่ชี ชั้นที่ 5 มีศาลาและกุฏิที่อาศัยของพระ ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ 6 มีที่พักเป็นลานกว้างหลายแห่ง มีหน้าผาชื่อต่างๆ เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ถ้ามาจากด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พระวิหารอันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวภูทอกอย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่มักจะหยุดเดินเพียงแค่นี้เพราะจากชั้น 6 สู่ชั้น 7 เป็นสะพานไม้ยาว 400 เมตร เวียนรอบเขาซึ่งเป็นหน้าผาชัน และเมื่อขึ้นไปสุดทางที่ชั้น 7 เป็นป่าไม้รกครึ้มที่มองลงมาเห็นวิวที่สวยงามของภูทอกที่สุด หากใครสนใจจะมาเที่ยวภูทอกแห่งนี้ ทุกๆ เดือน เม.ย. วันที่ 10-16 ของทุกปี จะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวชม
บึงกาฬ ถึงจะเป็นจังหวัดน้องใหม่ของประเทศ แต่ยังแฝงสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในจังหวัดไว้อีกมากมาย ถ้ามีเวลาอยากให้แวะมาชื่นชมน้องใหม่แห่งนี้ แล้วรับรองได้ว่าท่านจะหลงรักมนต์เสน่ห์ของจังหวัดนี้อย่างแน่นอน


