เขาทราย มอง ปาเกียว ย้อนดูตัวเอง

โดย...เด็กสวนฯ

คงไม่ช้าเกินไป หากจะขอร่วมแสดงความยินดีกับ “เขาทราย แกแล็คซี่” อดีตยอดมวยสากลระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย หรือพี่ระ ของน้องๆ ในวงการหมัดมวย ซึ่งมีชื่อนามสกุลจริงว่า สุระ แสนคำ

โดยล่าสุดทางสมาคมมวยโลก (WBA) ได้ประกาศเกียรติคุณให้ เขาทราย เจ้าของฉายา “หมัดซ้ายทะลวงไส้” เป็น “แชมป์โลกตลอดกาล” รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (รุ่นจูเนียร์แบนตัมเวต) ของ WBA พร้อมกับได้ส่งหนังสือเชิญให้ไปร่วมงาน “ดับเบิลยูบีเอ อะวอร์ดส์” และรับรางวัลในงานวันประกาศเกียรติยศดังกล่าว ณ กรุงปานามา ซิตี ประเทศปานามา วันที่ 28 ก.พ.นี้

“ผมจะออกเดินทางวันที่ 27 ก.พ.นี้ โดยไปกับคุณเอี้ยง (ทวีสิน ลูกชายของ “แชแม้” นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ยอดผู้จัดการของ เขาทราย ในยุคที่กำลังรุ่งเรือง) สำหรับความรู้สึกกับรางวัลนี้ แน่นอนผมภูมิใจมาก เพราะเลิกชกมวยมานานแล้ว แต่สมาคมมวยโลกยังเห็นความสำคัญของเรา ยังไม่ลืมเรา และที่สำคัญคือ นี่เป็นการประกาศรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นครั้งแรกด้วย โดยมีทั้งหมด 17 คนที่ได้รับ” อดีตยอดนักชกวัย 52 ปี กล่าว

 

ทั้งนี้ เขาทราย ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการป้องกันแชมป์รักษาเข็มขัดรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBA ไว้ได้ถึง 19 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลเลยทีเดียวสำหรับการป้องกันแชมป์ได้มากสุดในรุ่นเดียว

 

ทำไมไม่ข้ามรุ่นสร้างชื่อแบบ ปาเกียว

เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า เมื่อครั้งในอดีตสมัยที่ เขาทราย ยังโด่งดังและเฟื่องฟู แถมหมัดหนักอีกด้วย (ขอย้ำว่าหมัดหนักนะ ไม่ใช่หนักหมัด เพราะมีนักชกหลายคนในรุ่นหลังๆ ไม่ค่อยจะออกหมัด เนื่องจากมัวแต่หนักหมัด) ทำไมไม่คิดที่จะทำน้ำหนักขึ้นไปชกข้ามรุ่นบ้าง ซึ่งตัวอย่างชั้นดีมีให้เห็นในยุคปัจจุบันก็คือ แมนนี ปาเกียว ยอดมวยปอนด์ต่อปอนด์ที่ดีที่สุดในโลก จนสามารถทำสถิติเป็นเจ้าของเข็มขัดแชมป์มากที่สุดถึง 8 เส้น

ทั้งนี้ คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีเท่ากับเจ้าตัวเอง เพราะตัวเขาก็รู้ดีว่าช่วงนั้นเวลาชกตัดลำตัวคู่ต่อสู้แบบเน้นๆ เนื้อๆ แต่ละคนไส้แทบแตกจนอยากหาที่นอนพักบนสังเวียนผ้าใบดีกว่า

“ทำไมผมจะไม่อยากชกข้ามรุ่นล่ะ ใจผมพร้อมอยู่แล้ว แต่ติดที่ เขาค้อ (พี่ชายฝาแฝด) ที่ชกอยู่ในรุ่นแบนตัมเวต บอกตรงๆ ไม่อยากต้องไปชกกันเอง และผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย จึงขอให้ป้องกันแชมป์รุ่นนี้ไว้ให้นานที่สุดก็แล้วกัน”

นอกจากนี้ เขาทราย ยังบอกอีกว่า ตอนนั้นเคยลองขึ้นไปชกรุ่นแบนตัมเวตอยู่ 2 ไฟต์ ซึ่งชนะแค่คะแนนทั้ง 2 ครั้ง เพราะคู่ชกใหญ่กว่าต้องออกแรงเยอะขึ้นและเอาไม่ค่อยอยู่ แล้วที่ ปาเกียว ทำแบบนั้นได้ ก็ต้องยอมรับว่าเขาครบเครื่องจริงๆ ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ ยอดมวยจากฟิลิปปินส์มีทั้งพลังหมัด ความฟิต เลือดนักสู้ รวมทั้งมันสมองที่ใช้ในการแก้เกมบนเวที มันไม่ง่ายหรอกที่ใครจะประสบความสำเร็จได้แบบนั้น

อย่างไรก็ตาม หลังหมดยุคเขาทราย ก็ยังไม่เคยมีนักชกมวยสากลของไทยคนไหนจะยิ่งใหญ่ทั่วโลกเท่ากับเขาอีกแล้ว จะมีก็เพียงแชมป์โลกแบบผลุบๆ โผล่ๆ พอได้แชมป์มา ป้องกันไม่กี่ครั้งก็เสียเข็มขัด แล้วก็ต้องพยายามไปตามทวงคืนมา แล้วเดี๋ยวก็เสียไปอีก วนไปวนมาอยู่แบบนี้

 

ปาเกียว ถึงเวลาแขวนนวมหรือยัง

มีข่าวว่า ปาเกียว อาจจะต่อยอีกไม่เกิน 1-2 ไฟต์ ก็คงประกาศแขวนนวมอำลาสังเวียนผ้าใบ แล้วหันไปให้เวลากับครอบครัวที่แสนอบอุ่น พร้อมกับทุ่มเทใช้ชีวิตนักการเมืองที่บ้านเกิดอย่างเต็มที่ รวมทั้งยังหวังจะทำหน้าที่นักบุญ เพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่านักชกแดนตากาล็อกผู้นี้เป็นคนเคร่งศาสนามาก แหม! มันช่างขัดแย้งกับอาชีพต่อยหน้าคนที่สร้างทั้งชื่อเสียงและเงินทองให้เขาซะเหลือเกิน

“ผมว่าเขา (ปาเกียว) ยังไม่เลิกง่ายๆ หรอก เป็นผม ผมก็ยังขอชกต่อไปก่อน อายุก็ยังพอไหว ยังไงครอบครัวก็คงเข้าใจ และที่สำคัญ ชกไฟต์ละเป็นพันล้าน ใครจะทนปฏิเสธไหว ยังไงเขาก็ยังโกยเงินได้อีกเยอะ ส่วนไฟต์กับ ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ ที่คลาดแคล้วกันตลอด ผมเชื่อว่าถ้าเรื่องเงินเรื่องผลประโยชน์ลงตัว ทั้งคู่ได้ต่อยกันแน่ไม่ต้องห่วง” พี่ระ กล่าว

อาชีพหลักในปัจจุบันของ เขาทราย

ตอนนี้ธุรกิจหลักของผมก็คือ ทำหลังคารถกระบะยี่ห้อ “แพนเธอร์” ซึ่งก็ไปได้ดีทีเดียว ส่วนธุรกิจโต๊ะสนุกเกอร์แถวถนนสุขุมวิท 71 (ซอยปรีดี พนมยงค์ ในปัจจุบัน) เซ้งให้คนอื่นไปนานแล้ว

ส่วนเรื่องการเทรนให้นักมวยรุ่นน้องๆ ก็เหลือแค่ช่วยติวให้ เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม และ พูนสวัสดิ์ กระทิงแดงยิม เท่านั้น แค่นี้ก็ไม่มีเวลาแล้ว เพราะยังมีรับงานด้านการแสดงอีกด้วย ซึ่งเรามักจะเห็น เขาทราย ในจอทีวีด้วยลุคที่ไม่เหลือคราบแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่อยู่เลย โดยมักรับบทกะเทยแต๋วแตก หรือไม่ก็หัวหน้านักเลงหรือลูกน้องตัวโกงที่หนักไปทางซื่อบื้อติงต๊องอะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร เพราะดูแล้วตลกเบาสมองดี แถมยังสร้างความสุขให้กับผู้ชมอีกด้วย