ปรากฏการณ์แห่งสำนึกของสัตว์ประเสริฐ...ที่ควร(ตอน ๑๙)
ขอกราบอาราธนาพระอาจารย์ได้กรุณาขยายความและยกตัวอย่างกรณีการออกแบบกฎหมาย
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : ขอกราบอาราธนาพระอาจารย์ได้กรุณาขยายความและยกตัวอย่างกรณีการออกแบบกฎหมายที่ต้องเป็นไปอย่างควบคู่กับศีลธรรม เพื่อให้กฎหมายนั้นสามารถรักษากลไกของสังคมให้ดำเนินไปอย่างสงบสุข ดำรงซึ่งสันติและให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดได้พัฒนาตนเป็นคนดีได้ ที่สำคัญจะได้เตือนผู้ออกแบบกฎหมาย ผู้ใช้กฎหมายทั้งหลาย ได้พึงตระหนักว่า ศีลธรรมและกฎหมายไม่อาจแยกจากกันได้โดยเด็ดขาด
จึงขอกราบอาราธนาพระอาจารย์ได้วิสัชนาให้สาธุชนทั้งหลายได้เรียนรู้ไปพร้อมกันด้วยค่ะ
ดร.นิธินันท์ วิศเวศวร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิสัชนา : อันเป็น “สัจธรรม” ซึ่งไม่ว่าบุคคลหรืออำนาจสิ่งใดๆ ก็มิอาจปฏิเสธได้ ดังเช่นจากกรณีเสพเมถุนกับภรรยาเก่าของพระสุทินน์ ซึ่งได้รับผลจากการกระทำดังกล่าวโดยธรรมอันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมให้มีความรำคาญใจ ความเดือดร้อนใจ และทราบว่าไม่อาจประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ตลอดชีวิต ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงประชุมสงฆ์เพื่อพิจารณากรณีดังกล่าว และทรงติเตียนว่าการกระทำนั้นไม่เหมาะ ไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสมณะ... ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ และได้ทรงพระมหากรุณาแสดงให้เห็น “อำนาจแห่งธรรม” ซึ่งเป็นธงชัยในพระพุทธศาสนาว่าต้องเป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด... เพื่อความพราก... เพื่อความไม่ถือมั่น
ที่สำคัญ อันเป็นไปตามพุทธวิสัย คือ ทรงแสดงให้เห็นทั้งส่วนที่เป็นคุณ เมื่อถือปฏิบัติตามโดยการงดเว้นไม่ล่วงละเมิดในสิกขาบทนั้นๆ และให้เห็นการกระทำล่วงละเมิดที่นำไปสู่ความเป็นโทษ เมื่อสร้างจิตสำนึกของพระสงฆ์ให้มีความเห็นชอบ... มีความดำริชอบตามธรรมแล้ว จึงทรงประกาศปฐมบัญญัติในครั้งนั้นว่า “ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” อนึ่ง บทลงโทษขั้นปาราชิก (ผู้พ่ายแพ้) นั้น เปรียบเทียบเสมือนโทษประหารชีวิตของทางโลก ซึ่งไม่สามารถบวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ได้อีกต่อไป ต่อมาเพิ่มพระอนุบัญญัติ ๑, ๒ ว่าด้วยการเสพเมถุนธรรมแม้ในสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย... และในภิกษุที่ไม่ได้บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรผลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์เดรัจฉาจตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
จากสิกขาบทดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ทรงอ้างอิงอำนาจแห่งธรรมเป็นใหญ่ ซึ่งมีนัยละเอียดประณีตกว่าหลักคุรุธรรม หรือศีลธรรมขั้นพื้นฐาน เป็นการกล่าวอ้างถึงอำนาจคุณธรรมขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นตัวอริยสัจ ที่เป็นตัวธรรมแท้ขั้นสูงสุด นี่คือความบริสุทธิ์สวยงามของพระธรรมวินัยซึ่งให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง อันนำไปสู่ “วิสุทธิธรรม” เป็นที่สุด ลึกซึ้งละเอียดประณีตยิ่งกว่าหลักธรรมในเบื้องต้นและท่ามกลาง... ดังนั้น จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติในด้านพระวินัยของพระพุทธศาสนา จึงมุ่งสู่ความจริงขั้นสูงสุด ที่เรียกว่า “อริยสัจ” ซึ่งความจริงใดๆ ไม่ว่าโดยสมมติแห่งความจริง หรือสภาวะสัจจะ ปรมัตสัจจะ ต้องไม่ขัดแย้งกับความจริงขั้นอริยสัจ จึงอนุโลมเป็นไปตามธรรม... สมควรแก่ธรรมได้ สรุปคือ ต้องไม่ขัดข้องแปลกแยกไปจากตัวธรรมเป็นสำคัญ
หากพิจารณาต่อในสิกขาบทที่ ๒ ของหมวดปาราชิก ๔ เรื่องที่ทรงมีพระบัญญัติถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ เป็นปาราชิก โดยปฐมเหตุเกิดจากพระธนิยะกุมภการบุตร ซึ่งจำพรรษาอยู่เชิงภูเขาอิสิคิริในพระนครราชคฤห์ ได้มีเจตนาคือ เอาไม้ของหลวงที่เขาไม่ได้ให้ไปเป็นของของตน แม้ว่าพระเจ้าพิมพิสารจะทรงพระราชทานอภัยโทษในความผิดดังกล่าว ด้วยเห็นแก่ความเป็นสมณเพศ โดยงดเว้นการลงโทษในทุกกรณี ไม่ประหาร ไม่จองจำ ไม่เนรเทศ แต่ในพระพุทธศาสนานั้น ทรงยกธรรมเป็นธงชัย ธรรมเป็นตราชู ทรงปกครองโดยธรรมาธิปไตย จึงทรงประชุมสงฆ์ เพื่อพิจารณาสอบสวนเรื่องดังกล่าว และทรงติเตียนพระธนิยะฯ เป็นอันมาก เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทดังกล่าว ได้ทรงตรัสถามถึงหลักกฎหมายของบ้านเมืองจากภิกษุผู้เคยเป็นผู้พิพากษาเก่า ว่า
“ดูก่อนภิกษุ พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราชจับโจรได้แล้ว ประหารชีวิตเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทรัพย์ประมาณเท่าไรหนอ?”
พระภิกษุ (อดีตผู้พิพากษา) กราบทูลว่า “เพราะทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง เพราะของควรค่าบาทหนึ่งบ้าง เกินบาทหนึ่งบ้างพระพุทธเจ้าข้า” (สมัยนั้น ทรัพย์ ๕ มาสกในราชคฤห์เท่ากับ หนึ่งบาท)
จึงทรงบัญญัติว่า “หากถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ มูลค่า ๕ มาสก (หนึ่งบาท) ขึ้นไป เป็นปาราชิก”
ต่อมา ทรงมีอนุบัญญัติขึ้น เพราะมีพระสงฆ์บางคณะเริ่มมีความคิดเฉโกเลี่ยงบาลี ทราบว่า ทรงบัญญัติเฉพาะทรัพย์ในเขตบ้าน มิได้ทรงบัญญัติในเขตป่า จึงไปลักห่อผ้าของช่างย้อมผ้าที่ลานตากผ้าของช่างย้อมผ้า แล้วนำมาแบ่งปันกัน โดยทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า... ถือเอาทรัพย์เจ้าของมิได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี... เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ จากสิกขาบทดังกล่าว จะเห็นข้อปฏิบัติที่มีธรรมเป็นธงชัย แต่ไม่ได้ขัดแย้งกับกฎหมาย จารีตประเพณีที่เป็นไปตามครรลองแห่งธรรม จึงสานสัมพันธ์กันไปเพื่อมุ่งสู่ประโยชน์โดยธรรม
อ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้


