posttoday

เอาช้างเข้าโรงเรียน

07 มกราคม 2555

จำไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ ผมออกฤทธิ์ออกเดชต่อต้านการเข้าโรงเรียนในวันแรกอย่างไร

โดย...จำลอง บุญสอง

จำไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ ผมออกฤทธิ์ออกเดชต่อต้านการเข้าโรงเรียนในวันแรกอย่างไร เพราะนานเกินกว่าจะจำได้ ยิ่งอายุมากขึ้นความจำก็น้อยลงเป็นปฏิภาคกับความแก่ชรา เคยแต่จำได้ว่าที่ทำงานเก่า คือ หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ยุค“ห้องแถว”ที่ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท42มีโรงเรียนอนุบาลอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมมีหน้าที่หาภาพมาลงประกอบข่าว โรงเรียนอนุบาลที่ว่าจึงเป็นที่หมายในวันเปิดเทอม ได้“เห็นฤทธิ์เห็นเดช”เด็กน้อยเวลา“ดิ้นรน ต่อสู้”เพื่อไม่ให้ต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างไร ต้องอยู่กับคุณครู“คนแปลกหน้า”ที่ไม่รู้จักอย่างไร ได้เห็น“แววตา”“แห่งความห่วงใย”ลูกๆ อันเป็นที่รักของบรรดาผู้ปกครองที่แอบส่องดูตามซอกหลืบของเสาอาคารอย่างไร ต้อง“กังวล”และต้อง“ตัดใจ”กับลูกหลานอันเป็นที่รักของพวกเขาไปให้คุณครูได้สอนสั่งอย่างไรทุกปี ส่วนคุณครูเล็ก คุณครูน้อย และคุณครูใหญ่นั้นเล่า แม้ว่าจะต้องอาศัยการสอนเด็กเพื่อ“ยังชีพ”แต่ภายใต้การ“ยังชีพ”ด้วยวิธีนี้ ก็ต้องมีความ“รับผิดชอบ”ต่อเด็กเป็นพิเศษกว่าอาชีพอื่น เพราะต้องดูแลทั้งชีวิตและอารมณ์ของยุวชนตัวน้อยๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของมนุษยชาติเสียตั้งแต่เริ่มต้น

เอาช้างเข้าโรงเรียน

อาชีพครูจึงเป็นงานอาชีพที่ต้องรับผิดชอบสูง โดยเฉพาะ“ครูวัยอนุบาล”

การเอา“ช้างน้อย”“เข้าโรงเรียนอนุบาล”ก็ไม่ต่างจากการเอาเด็กอนุบาลเข้าโรงเรียนต่างกันที่ลูกช้างตัวใหญ่มีกำลังมากกว่าเด็ก ฤทธิ์จึงมากกว่า ส่วน“แม่ช้าง”ก็ไม่ใช่“แม่คน”ที่เต็มใจส่งลูกเข้าเรียน แม้จะเคยถูกส่งเข้าโรงเรียนแบบเดียวกันมาก่อนเมื่อวัยเด็กก็ตาม เพราะแม่ก็คือแม่ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ การหวงและห่วงลูกเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ธรรมชาติสร้างให้มาในทุกสรรพสัตว์

“ช้างเลี้ยง”จำนวนมากที่เคยมีชีวิตผ่านความยากลำบากด้วยการ“ลากซุง”รับใช้เจ้าของของมันเมื่อหลายสิบปีก่อน วันนี้มันกลายเป็นเพียง“สัตว์เลี้ยงตัวโต”ที่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวเล็กตัวอื่นๆ ที่มันหมดภาระแห่งการงานไป ก็เพราะวิถีการผลิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง วันนี้พวกมันไม่ต้องทำงานลากซุงหนักๆ แบบเก่า เพราะ“ป่าสัก”ธรรมชาติถูกถากถางกลายเป็น“ไร่”เพื่อการยังชีพไปหมดแล้ว ส่วนเขตป่าที่มันเคยอาศัยกินอยู่ตามธรรมชาติก็ถูก“คน”ทำให้กลายเป็น“ป่าอุทยาน”ป่าวนอุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และมีกฎหมายห้ามไม่ให้พวกมันเข้าไปกินอีกต่างหาก

วันนี้พวกมันไม่ใช่“เครื่องมือ”เพื่อการ“ยังชีพ”ของชนเผ่ากะเหรี่ยง นักรบแรงงานด้วย“ช้าง”อีกต่อไป ช้างกลายเป็นเพียง“มรดก”ที่“มีชีวิต”ของตระกูลใดตระกูลหนึ่งของชนเผ่าแทน

มรดกเหล่านี้ต่างจากมรดกที่ไม่มีชีวิตตรงที่มันต้อง“กิน”กินกันเป็นตันๆ เพื่อยังชีพ แม้ว่าพืชอาหารของช้างแถบแม่สอด พบพระ และอุ้มผาง จะยังมีหลงเหลืออยู่ตามป่ามาก แต่การที่ป่าถูกตีกรอบให้เป็น“สถานที่ราชการ”ช้างเหล่านั้นจึงหากินได้ลำบากกว่าปกติ ถ้าเจ้าหน้าที่อุทยานใจร้าย ไม่ให้ความร่วมมือให้ช้างเข้าไปหาอาหาร อาหารที่มีธาตุอาหารอันจำเป็นแก่การดำรงชีพของสัตว์ใหญ่อย่างอุดมแล้ว พวกมันคงกลายเป็นช้างพิการไปแบบเดียวกับช้างอีกหลายๆ ภาคส่วนของประเทศ

ช้างบ้านที่สุรินทร์ ช้างทัวร์ที่อยุธยา เชียงใหม่ หรือที่อื่นๆ แม้ว่าจะมีการปลูกพืชอาหารสัตว์ให้มันกินอย่างพอเพียงแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า“ธาตุอาหาร”อันจำเป็นแก่การดำรงชีพของช้างจะครบตามความต้องการของร่างกายอันใหญ่โตของมันไปด้วย เมื่อได้ธาตุอาหารอันควรแก่การจำเป็นไม่ครบ ก็หมายความว่าช้างเหล่านั้นกลายเป็นช้าง“อีกคุณภาพชีวิตหนึ่ง”เช่นเดียวกับ“ไก่ในฟาร์ม”ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีชีวิตอยู่เพื่อตายด้วยวัยที่ไม่เกิน3เดือนเท่านั้น ไม่ต้องบอกว่าคนที่“กินไก่เร่งสาร”จะมีการเจริญพันธุ์แบบ“คนเร่งสาร”ตามไปด้วยอย่างไร ส่วน“ช้าง”แม้ว่าจะไม่ได้กินอาหารเร่งสารแบบเดียวกับไก่ หมู หรือคนก็ตาม แต่การที่กินอาหารไม่ครบหมู่ หรืออาหารที่มาจากธรรมชาติ ช้างก็คงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เร่งสารในยุคทุนนิยม คือ ไม่แข็งแรงจากอาหารนั่นเอง

เอาช้างเข้าโรงเรียน

เคยแต่ได้ยินพิธีการ“จ้านช้าง”ว่าโหดร้ายต่อช้างอย่างโน้นอย่างนี้ โดยเฉพาะจากพวกเอ็นจีโอฝรั่ง ข่าวคราวที่ออกไปทำให้ประเทศไทยเสียหาย และถูกยกให้เป็นพื้นที่ทรมานช้างที่โด่งดังแห่งหนึ่งในโลก

หนุ่ย เจ้าหน้าที่มูลนิธิช้าง โทร.มาชวนให้ไปดูพิธีที่ผมอยากดูที่แม่สอด จ.ตาก พิธีนี้นานๆ เขาจะมีให้ดูกันสักที ผมจึงต้องขับรถไปทั้งๆ ที่มีนัดกับผู้อำนวยการ ททท. อุทัยธานี แท้ๆ

ตะบึงรถออกจากกรุงเทพฯ ไปคนเดียวตอนตี 3 เพื่อไปให้ถึงตามเวลาที่นัดหมาย คือ8โมงเช้า อันเป็นช่วงที่หมอจะทำพิธี เสียดายที่เมื่อวานไม่ได้ไปดูพิธีฆ่าหมูเสี่ยงทาย เพราะงานยังไม่เสร็จ

แม้ว่าจะเคยมาที่หมู่บ้านนี้มาก่อน แต่ด้วยความใจร้อนบวกกับความเบลอ จึงทำให้ขับรถเลยหมู่บ้านขึ้นไปบนม่อนหินเหล็กไฟ ต้องวนกลับรถมาแบบเสียเวลา

พิธีจ้านช้างต้องกระทำกันในป่าละเมาะ“หนุ่ย”วานให้เด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์มารับ ระหว่างทางต้องขับรถผ่านไร่ที่แห้งผากเป็นเวลา10กว่านาที ไร่ที่แห้งผากเหล่านี้เคยเป็นป่าสักมาก่อน หลังจากป่าถูกสัมปทานไปแล้ว คนงานกะเหรี่ยงซึ่งอยู่ในแถบนั้นก็เข้า“จับจอง”เป็นเจ้าของพื้นที่สบายไป ผมเคยไปทำข่าวแถบนั้น เห็นความเป็นป่าตั้งแต่เป็นป่าสมบูรณ์มาจนกระทั่งป่าถูกทำลายให้กลายเป็นไร่ข้าวโพด ไร่หอมกระเทียม และอื่นๆ อีกมากมาย บอกไม่ได้ว่ามันถูกหรือมันผิดอย่างไร เพราะถ้ายังเป็นป่าก็ไม่มีที่ทำกินของคน แต่ถ้าเป็นที่ทำกินของคนก็ไม่มีป่าให้มนุษย์

ที่นี่เป็นแหล่งผลิตสินค้าการเกษตรใหญ่ให้กรุงเทพฯ หลังจากเครื่องจักรเข้ามาแทนแรงงานคนและแรงงานช้างแล้ว“ช้าง”จึงกลายเป็น“ช้างตกงาน”ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง

วันนี้ช้างเลี้ยงแถบ จ.ตาก ไม่ต้องทำงานหนัก แถมมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ช้างตากจึงอ้วนท้วนสมบูรณ์ แข็งแรง กลายเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ดีไม่แพ้ช้างเมืองกาญจน์ ลูกช้างของที่นี่รวมทั้งที่พบพระ อุ้มผาง และทางตอนเหนือของแม่สอด คือ แม่ระมาด ท่าสองยาง ไปจนถึงแม่สะเรียง จึงมีเป็นร้อยเชือกและกลายเป็น“แหล่งสินค้า”ประเภท“ช้าง”ของประเทศไปโดยปริยาย สมัยที่ผมไปใหม่ๆ ราคาช้างตัวหนึ่งก็แสนสองแสน แต่เดี๋ยวนี้ว่ากันเป็นหลักล้าน!

ไม่ต้องลากไม้ แต่ต้องไปทำทัวร์!

เอาช้างเข้าโรงเรียน

เจ้าตัวเล็กที่ต้องเข้าทำพิธี ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องเข้าโรงเรียน จึงไม่ยอมเดินมายังที่โรงเรียน โรงเรียนของมันไม่ใช่โรงเรียนแบบคน แต่เป็นเพียงซองไม้แคบๆ ที่สามารถขนาบตัวมันไม่ให้กระดิกกระเดี้ยได้เท่านั้น น่าเชื่อว่าช้างรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ช้างคงสื่อสารกันเอง แล้วจึงทำให้ลูกช้างไม่ยอมมาโรงเรียน ทั้งที่ได้ฤกษ์ได้ยามนานแล้ว

ควาญช้างขับพลายอีกเชือกที่เป็นตัวพ่อออกไปรับ เจ้าช้างน้อยจำต้องเดินตามแบบ“หันรีหันขวาง”เพราะถูกบังคับ พอพ้นราวไปมาผมจึงรู้ว่า“แม่ช้าง”มีลูกน้อยตัวน้องตามมาด้วย มันช่างเป็นแม่พันธุ์ที่ดี จึงออกลูกหัวปีท้ายปีได้ขนาดนี้ สะโพกก็ไม่ได้ผายสักหน่อย

เจ้าลูกตัวโตอายุ3ขวบกว่าแล้ว แต่ยังไม่หย่านม ส่วนเจ้าตัวน้องก็เพิ่งคลอดมาได้ไม่นาน มันจึงแย่งนมกินกัน แน่นอน เจ้าตัวเล็กย่อมสู้ไม่ได้แน่ การจ้านช้าง หรือเอาช้างเข้าโรงเรียน จึงเป็นการหย่านมให้เจ้าตัวเล็กได้กินนมได้อย่างสมบูรณ์ ไปพร้อมๆ กับการฝึกช้างเพื่อให้“เข้าใจคำสั่งคน”อันเป็นวิธีการการอยู่ร่วมกันระหว่าง“สัตว์”“ต่างสายพันธุ์”

ทีแรกผมก็มีความคิดสงสารช้างที่ถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เคยดู ท่าชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กๆ แถมแหกปากร้องลั่นป่า ทำให้ผมใจหวิว แต่มาคิดอีกที สัตว์ใหญ่อย่างช้างถ้ามาอยู่กับคนแล้วคนไม่สามารถบังคับช้างได้ ก็คงเป็นอันตรายไปด้วยกัน เพราะสัตว์ใหญ่ถ้ามันอาละวาดเพราะความไม่เข้าใจกัน คนก็ต้องยิงทิ้งไปเปล่าๆ ม้าหรือควายคนก็ต้องฝึกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็อยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้ เพราะสัญชาตญาณป่าจะกำเริบขึ้นวันใดวันหนึ่งก็ไม่รู้ เช่นเดียวกับเจ้ารอตไวเลอร์ที่มักจะฆ่าคนแก่และเด็กที่อ่อนแอกว่ามัน

ลูกมือของพ่อหมอช่วยกันเอาเชือกคล้องคอช้างเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็ใช้เชือกคล้องขา โดยพยายามบังคับให้ช้างน้อยเข้าไปอยู่ในคอกหรือซองที่มีต้นไม้ขวางไว้หนึ่งต้น เพื่อไม่ให้มันวิ่งแหกออกไป ดิ้นกันพักใหญ่เพราะช้างน้อยไม่ยอมแถมแหกปากลั่นป่า ฝ่ายแม่ช้างก็ห่วงลูกจะเจ็บ แหกปากลั่นกว่าเสียอีก โดยเจ้าตัวพ่อกลับไม่สนตุ้ย เพราะมีคนเอากล้วยมาตัดเป็นท่อนๆ ให้กิน วันนี้มันทำหน้าที่กั้นแม่ช้างกับลูกช้างให้พ่อหมอ เพื่อไม่ให้แม่ช้างวิ่งเข้าชาร์จคน

เอาช้างเข้าโรงเรียน

ลูกช้างดิ้นไปดิ้นมาสักพักก็หมดแรง ถูกบังคับเข้าซองซึ่งเป็นโรงเรียนช้างน้อยจนได้ เข้าซองแล้วก็ถูกมัดเท้าทั้งหน้าและหลัง ท้องก็มีเชือกถักอุ้มเอาไว้กับขื่อเพื่อให้ช้างขาลอย ขาลอยก็เท่ากับหมดสภาพแห่งความมั่นใจตามไปนั่นเอง ความกลัวทำให้มันขี้แตก เยี่ยวแตก จนหมดไส้หมดพุง ทีแรกก็แข็งดี แต่ตอนหลังก็เหลวแบบหมดสภาพ

พ่อหมอก็พรมน้ำมนต์ให้ทั้งครูฝึกใหม่ ซึ่งก็คือ“ลูกชาย”ของหมอผู้ทำพิธี และลูกช้าง ครูฝึกใหม่คนนี้จะกลายเป็นหมอช้างสืบแทนพ่อที่“กำลังวังชา”หดหายไปกับกาลเวลา วันนี้คือวันแรกของการครอบครู ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะให้ทำกับลูกช้าง“ตัวเมีย”เพราะลูกช้างตัวเมียเป็นลูกช้างที่“ฝึกง่าย”การให้หมอใหม่ฝึกของง่าย เป็น“เคล็ด”แบบหนึ่งที่พ่อเก่าให้กับหมอใหม่ ไม่ต้องเจอกับความยากลำบากในอนาคต

การเป็นหมอช้างแต่เดิมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พ่อหมอเดิมจะเลือกคนที่เป็นหมอช้างต่อว่ามีคุณค่าควรจะเป็นหมอช้างได้หรือไม่ คุณสมบัติของการเป็นหมอช้างที่ดีก็คือต้องเป็นคนรักช้าง เมตตาต่อช้าง ไม่เป็นคนที่หุนหันพลันแล่น ขี้โกรธ ขี้โมโห“ทำร้ายช้าง”ด้วยความโกรธที่ไม่ได้ดั่งใจ

ระหว่างการฝึกช้างต้องอยู่กลางดินกินกลางทราย นอนอยู่ใกล้ๆ ช้างและต้องฝึกเอาหวายมาคล้องที่ขามันทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (โดยประมาณ) ให้อาหารช้างไปพร้อมๆ กับการปลอบประโลม ต้องพูดจาดีๆ กับลูกช้างเสมอ วันแรกของการฝึกลูกช้าง สำหรับช้างตัวเมียก็ต้องให้หันไปทางทิศตะวันตก ตัวผู้หันไปทางทิศตะวันออก 3 วันจึงจะหันกลับหลัง ถ้าช้างไม่อาละวาดในระหว่างเปลี่ยนอิริยาบถก็เป็นเคล็ดได้ว่า ช้างตัวนั้นจะไม่ฆ่าคนเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา แต่ถ้าออกจากซองแล้วอาละวาดฟาดงวงฟาดงา หรือดึงต้นไม้ให้ขาดลง ก็คาดหมายได้ว่าช้างตัวนั้นฆ่าคนแน่เมื่อเติบใหญ่ เรื่องนี้จริงไม่จริงก็อยู่ที่พ่อหมอนะครับ แต่ช้างก็คือช้าง ถ้าโดนควาญหรือคนแกล้งใช้งานมันหนักๆ ทำร้ายมันบ่อยๆ ช้างก็จะหงุดหงิดและฆ่าคนได้

ในช่วงการฝึกแรกๆ หมอก็จะขึ้นขี่ก่อน หลังจากนั้นก็จะให้เด็กขึ้นไปขี่และออกคำสั่งเพื่อให้มันคุ้นเคย ระหว่างขี่แรกๆ มันจะดิ้นเพื่อสลัดให้ลงจากหลัง และพยายามให้ขาคนเบียดกับต้นไม้ คนก็ต้องนั่งอยู่บนหลังของมันพลางเกาะคานเหนือหัวไปพลาง พร้อมๆ กับการออกคำสั่งให้ทำโน่นทำนี่พลางปลอบประโลม ช่วงนี้ช้างก็จะสงบลงเรื่อยๆ เหมือนกับการฝึกม้าพยศ ท้ายสุดเมื่อคุ้นกับคนแล้ว ก็ค่อยๆ คลายพันธนาการมันออกไป

อายุช้างที่ฝึกได้ดีก็คือ ช่วงอายุ3-4ขวบ น้อยไปก็ไม่รู้ประสีประสา แถมการหย่านมเร็วเกินไปทำให้ช้างไม่ได้กินนมแม่อ่อนแอ ตายง่าย มากไปก็ตัวใหญ่ ฝึกยาก

เอาช้างเข้าโรงเรียน

กะเหรี่ยงกับช้างก็เหมือนกูยหรือส่วยกับช้าง คือ ผูกพันกันมาตั้งแต่ในอดีต เพราะมีหน้าที่ในการรับจ้างชักลากไม้ให้กับพวกฝรั่งและพ่อค้าไม้ในเวลาต่อมา แต่ก่อนภาษาที่ฝึกก็คงจะต่างกันไปตามชนชาติของเจ้าของหรือนายของมัน แต่ตอนหลังเมื่อกูยก็ดี กะเหรี่ยงก็ดี กลายเป็นไทยไปหมดแล้ว ภาษาของการสั่งช้างก็จะคล้ายๆ กัน คือ ออกสำเนียงไทยมากขึ้น

ด้วยความต้องการช้างที่มากขึ้นในวงการการท่องเที่ยว ทำให้ จ.ตาก ซึ่งน่าจะมีช้างเลี้ยงที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ กลายเป็นแหล่งฝึกช้างเพื่อขายต่อไปยังที่อื่นๆ โดยเฉพาะสุรินทร์ และที่ท่องเที่ยวอื่นๆ การฝึกลูกช้างของที่นี่ก็เหมือนกับการเอาเด็กเข้าโรงเรียนอนุบาลขั้นต้น คือ สอนให้พอรู้ ส่วนใครอยากจะให้ช้างมีพัฒนาการต่อๆ ไปเพื่อมนุษย์ ก็ต้องเอาไปเข้าโรงเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัยตามที่ต่างๆ

ความต่างของการฝึกช้างของสุรินทร์กับตากก็คือ ที่สุรินทร์ไม่ได้มีการหักดิบแบบที่ตาก ให้ลูกช้างเรียนรู้พฤติกรรมของแม่ช้างไปเรื่อยๆ“ช้า”แต่ไม่รู้สึกว่าทรมาน ส่วนที่ตาก คนภายนอกถ้าไม่เข้าใจก็จะรู้สึกว่าทรมาน แต่วิธีการนี้ให้ผลเร็วที่สุด

ช้างนั้นแบ่งออกเป็นช้างป่ากับช้างเลี้ยง ที่เป็นวิถีหรืออาจจะเรียกได้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบๆ ต่อกันมา ในโลกนี้มีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีช้าง และไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ช้างเลี้ยงก็เหมือนกับม้า หมา หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ที่ต้อง“เข้าโรงเรียน”เพื่อการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ หลังฝึกแล้วช้างก็เข้าไปอยู่ในฝูงเหมือนปกติ แต่ภายใต้สิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นเรื่องความจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน ผมเชื่อว่าคนรักช้างไปพร้อมกับความหวาดกลัวในความใหญ่โตของมัน

มันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน เพราะเดี๋ยวนี้ช้างเลี้ยงมีเพียง4,000กว่าตัวเท่านั้น และกำลังล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ เพราะช้างเปราะบางมากขึ้นจากอาหารที่ไม่ครบหมู่ การจะเอาช้างบ้านไปเลี้ยงในป่าก็สุดเสี่ยง เพราะช้างป่าดุและแข็งแรงกว่าช้างบ้านมากนัก มันสามารถทำร้ายช้างผู้แปลกปลอมได้ง่ายๆ การนำช้างบ้านให้ไปอยู่ป่าจึงเป็นวิธีการฆ่าช้างบ้านดีๆ นี่เอง เคยมีผู้หวังดีเอาช้างคืนป่า ผลสุดท้ายกลายเป็นการฆ่าช้างไป

ปัญหาช้างเลี้ยงคน คนเลี้ยงช้าง ก็แก้ได้ไม่ยาก ถ้าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ขึ้นมา ควาญช้างก็เหมือนคนงานในโรงงานช้าง คือ มีเงินเดือนกินและมีหน้าที่ทำให้ช้างมีความสุขกับการทำงาน ประเทศเป็นประชาธิปไตยเมื่อไหร่ ไม่เพียงแต่คนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น ช้างก็จะมีชีวิตที่ดีตามมาด้วย

ช้างเป็นสัตว์ที่ควรค่าแห่งการอนุรักษ์ ป่าไม่เพียงแต่เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นความจำเป็นของช้างด้วย รักษาป่าคือรักษาคนและช้าง การรักษาคนและช้างคือการรักษาให้ทุกสรรพชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติ

           

                       

 

 

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1