ปี 2011 ปีแห่งภัยพิบัติ
ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะมีภัยพิบัติเกิดเมื่อใดในโลกกลมๆ ใบนี้ อย่างในปี 2011 ที่ผ่านมา
โดย...โยธิน อยู่จงดี
ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะมีภัยพิบัติเกิดเมื่อใดในโลกกลมๆ ใบนี้ อย่างในปี 2011 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมายทั่วโลกจนแทบจะเรียกได้ว่า ทุก 12 เดือน จะต้องเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่จนส่งผลให้มีผู้คนล้มตายสูญหาย และนี่คือที่สุดของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2011 ซึ่งเป็นเหมือนคำเตือนจากธรรมชาติว่า มนุษย์เราไม่มีทางต่อกรกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้เลย
แผ่นดินไหวที่ไครสต์เชิร์ช
เหตุการณ์สะเทือนขวัญในประเทศที่มีดินแดนสวยงามอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง นิวซีแลนด์ ที่เมืองไครสต์เชิร์ชเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ โดยมีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างไปทางวันออกเฉียงใต้ 10 กม. เมื่อเวลา 12.51 น. ของวันที่ 22 ก.พ. เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนเป็นวงกว้าง มีผู้ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 113 คน และสูญหายอีกกว่า 228 คน
หลังจากนั้นราวเดือน มิ.ย. ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อีกระลอก และมีอาฟเตอร์ช็อกเล็กๆ ตามมาเป็นระยะทุกเดือนจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีหลายครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวสูงกว่า 6 ริกเตอร์ จนประชาชนในเมืองไครสต์เชิร์ชต้องอยู่อย่างหวาดผวา ซึ่งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยบางส่วนก็ได้รับการปรับปรุงและเตรียมแผนรับมือแผ่นดินไหวไว้บ้างแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้นับเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดของนิวซีแลนด์นับตั้งแต่แผ่นดินไหวที่เมืองฮอกส์เบย์ ปี พ.ศ. 2474
สึนามิและมหันตภัยนิวเคลียร์
ไม่ถึง 1 เดือนหลังเกิดแผ่นดินไหวที่ไครสต์เชิร์ช วันที่ 11 มี.ค. ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ ในแถบวงแหวนแห่งไฟ ใกล้เกาะญี่ปุ่น นี่คือสึนามิช็อกโลกอีกครั้ง แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบเพียงประเทศญี่ปุ่นและอีกไม่กี่ประเทศใกล้เคียง แต่ผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดก็คือความเสียหายของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ฟูกุชิมา ไดอิชิ ที่เกรงว่าจะกระจายกัมมันตรังสีไปทั่วโลก
ความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้เกาะฮอนชูเลื่อนไปทางตะวันออก 2.4 เมตร และแกนหมุนของโลกเอียงอีกเกือบ 10 ซม. มีผู้เสียชีวิตทั้งหมดราว 1.5 หมื่นคน บาดเจ็บอีกกว่า 5,700 คน และสูญหาย 4,500 คน ถนน รางรถไฟ เสียหาย เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นอีกในหลายพื้นที่ บ้านเรือนราว 4.4 ล้านหลังคาเรือนไม่มีกระแสไฟฟ้าและน้ำใช้
รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมูลค่าความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิสูงถึง 3.09 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา
แผ่นดินไหวที่พม่า 7 ริกเตอร์
หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นได้ไม่นานนัก วันที่ 24 มี.ค. ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในสาธารณรัฐแห่งพม่า และส่งผลกระทบถึงในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทย รวมถึงตึกสูงที่กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิตจากผนังบ้านล้มทับตาย 1 คน หลังจากนั้นศูนย์เตือนภัยของประเทศไทยก็ได้ตรวจพบศูนย์กลางแผ่นดินไหวในประเทศไทยถึง 3 จุด แต่ทุกคนคิดว่าเป็นอาฟเตอร์ช็อกจากเหตุแผ่นดินไหวในพม่า แต่ที่จริงแล้วเกิดในประเทศไทย
ศูนย์กลางแผ่นดินไหว 3 จุดในไทย คือ อ.เวียงสา จ.น่าน เกิดจากการเคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อนปัว วัดความแรงได้ถึง 4 ริกเตอร์ ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวขนาด 3 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เกิดจากการเคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน และเกิดความแรง 3.4 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เกิดจากการเคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อนแม่จันอีกเช่นกัน
นี่คือข้อมูลที่หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า การเกิดแผ่นดินไหวในพม่านั้นได้สร้างรอยเลื่อนในประเทศไทยให้ขยับตัวอีกเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อเกิดแรงเค้นของแผ่นดินมากพอ ที่สำคัญคือ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนแผ่นดินที่อ่อนนุ่มเหมือนตั้งอยู่บนเจลลี หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทางภาคเหนือ ก็จะส่งผลกระทบต่อตึกสูงในกรุงเทพฯ ได้เช่นกัน
น้ำท่วมใหญ่ในรอบ 65 ปี ที่ประเทศจีน
นอกจากภัยแผ่นดินไหวจะสร้างความเสียหายแล้ว ยังมีภัยพายุฝนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน เช่น ที่ประเทศจีนเมื่อเดือน มิ.ย. ฝนที่ตกอย่างหนักตลอด 4 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของหลายจังหวัดในเขตลุ่มแม่น้ำแยงซีเกิดน้ำท่วมและดินถล่ม ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 36 ล้านคน และทำให้คน 1.6 ล้านคนต้องทิ้งบ้านเรือน มีผู้เสียชีวิต 175 คน และอีก 86 คน ยังคงสูญหาย รัฐบาลจีนประกาศเป็นเขตภัยพิบัติน้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498
มหาอุทกภัยในรอบ 70 ปี
เหตุการณ์อันน่าสลดสำหรับคนไทย เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด และไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นปัญหาหนักหนาของชาวกรุงเทพฯ
มหาอุทกภัยครั้งนี้เกิดจากปัจจัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับแต่เดือน ส.ค.เป็นต้นมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลพายุฝนติดกันถึง 5 ลูก โดยปกติแล้วประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลลมพายุเพียงไม่กี่ลูก แต่ในครั้งนี้เราเผชิญพายุใหญ่ตั้งแต่พายุโซนร้อนไหหม่า พายุโซนร้อนนกเตน พายุโซนร้อนไห่ถาง พายุไต้ฝุ่นเนสาด และพายุโซนร้อนนาลแก จนมีระดับน้ำเต็มความจุของเขื่อน ต้องปล่อยน้ำออกมาท่วมบ้านเรือนประชาชนจนได้รับความเดือดร้อนราว 1.6 ล้านครัวเรือน ประชาชนกว่า 4.4 ล้านคน จากพื้นที่ประสบอุทกภัยรวม 65 จังหวัด เสียชีวิตรวม 680 คน สูญหาย 3 คน นับเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตจากภัยน้ำท่วมมากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา
นับจากนี้ไปเราคนไทยต้องเรียนรู้การเอาตัวรอดจากภัยพิบัติต่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้เราจะมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็จะเตือนภัยล่วงหน้าในเพียงไม่กี่นาที ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทุกคนสามารถทำได้ก็คือ การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการอพยพและการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม สึนามิ หรือภูเขาไฟระเบิด ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การที่เราจะอยู่กับโลกปัจจุบันให้ได้นั้น เราควรเรียนรู้ว่าเราจะอยู่กับธรรมชาติอย่างไร โดยนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน อย่างเช่นที่คนญี่ปุ่นใช้ความสามัคคีมีวินัยร่วมฝ่าฟันเมื่อครั้งเกิดสึนามิ และเราคนไทยใช้ความมีน้ำใจช่วยเหลือกันจนมีวันนี้นั่นเอง


