สิ่งอัศจรรย์ในพุทธศาสนา
ในโลกนี้มีสิ่งอัศจรรย์มากมาย และในสิ่งต่างๆ บรรดามีในโลกล้วนมีความอัศจรรย์ซ่อนอยู่เสมอ
ในโลกนี้มีสิ่งอัศจรรย์มากมาย และในสิ่งต่างๆ บรรดามีในโลกล้วนมีความอัศจรรย์ซ่อนอยู่เสมอ
โดย..อ.ตุ้ย วรธรรม
ซึ่งอยู่ที่การมองของแต่ละคน ไม่ต้องดูอื่นไกลแค่ร่างกายของมนุษย์ที่ประกอบด้วยอวัยวะ 32 ประการ ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่ของมันอย่างอัศจรรย์แม้กระทั่งเวลานอน หรือแม้แต่ปัญญาของมนุษย์ก็อัศจรรย์ใช่ย่อย
ทราบไหมครับว่าสิ่งที่เป็นความอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง บางคนอาจจะบอกว่าอันนั้นก็อัศจรรย์ อันนี้ก็อัศจรรย์ ซึ่งคงจะเยอะแยะไปหมด
แน่นอนครับในพระพุทธศาสนามีสิ่งอัศจรรย์มากมาย แต่ถ้าอยากทราบสิ่งอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาจริงๆ มีอะไรนั้นพระพุทธเจ้าทรงเฉลยไว้ในปหาราทสูตร โดยสมัยหนึ่งพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ที่ควงไม้สะเดาอันเป็นอาศัยของนเฬรุยักษ์ใกล้เมืองเวรัญชา จอมแห่งอสูรชื่อปหาราทะได้เข้าเฝ้า พระองค์ทรงถามว่าเหล่าอสูรชอบทะเลจริงหรือ
จอมอสูรทูลว่าชอบจริงและชอบมาก แล้วตรัสถามต่อว่าในทะเล (มหาสมุทร) มีความอัศจรรย์อะไรงั้นหรือถึงได้หลงใหลกัน ปหาราทะทูลว่า เพราะ 1.ทะเลลุ่มลึกไปโดยลำดับ ไม่ได้โกรกชันเหมือนเหว 2.มีน้ำเต็มเปี่ยมตลอด ไม่ล้นฝั่ง 3.ไม่เกลื่อนไปด้วยซากศพเพราะมีคลื่นซัดเอาซากศพเข้าฝั่งขึ้นบกทันที
“มีอะไรอีกไหม...” พระพุทธเจ้าตรัสถาม
จอมอสูรทูลต่อว่า แม่น้ำสายบางสาย รวมถึงแม่น้ำคงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหี ก็ล้วนไหลลงมหาสมุทร ย่อมละนามเดิมหมด ถึงการนับว่าเป็นน้ำทะเล สายฝนจากอากาศก็ตกลงสู่ทะเล แต่ทะเลนั้นก็ไม่ได้เต็มฝั่งหรือพร่องลงไป
ทะเลมีรสอันเดียวคือเค็ม มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต สังข์ ศิลา เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขนาดและสัตว์ทะเลทั้งหลาย อันได้แก่ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ มีร่างกาย มีอยู่ในทะเล
ทะเลมีสิ่งอัศจรรย์เช่นที่ว่านี้แหละพระพุทธองค์ จึงทำให้เหล่าอสูรเห็นแล้วเกิดความอภิรมย์ชมชอบ พร้อมกับถามพระพุทธเจ้าว่าแล้วพระสงฆ์ล่ะย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัย (พุทธศาสนา) บ้างหรือไม่
พระองค์ก็ตรัสว่าอภิรมย์สิและตรัสต่อไปว่า ทะเลลุ่มลึกไปโดยลำดับไม่ได้โกรกชันเหมือนเหวฉันใด ในพระธรรมวินัยก็ฉันนั้น คือมีการศึกษาไปตามลำดับ กระทำ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่จะมีการบรรลุพระอรหัตผลโดยตรง
ทะเลเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกของเราก็ฉันนั้น คือไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต
ทะเลไม่เกลื่อนด้วยซากศพเพราะในทะเลมีคลื่นซัดซากศพเข้าฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด สาวกของเราในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น คือบุคคลผู้ทุศีล มีบาป ประพฤติไม่สะอาด ปกปิดความชั่ว มิใช่สมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ทำสังฆกรรมร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที
แม่น้ำสายบางสาย รวมถึงแม่น้ำคงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลลงไปถึงทะเลแล้วย่อมละนามเดิม ถึงการนับว่าเป็นทะเล ฉันใด สาวกของเราในพระธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชแล้วย่อมละนามเดิมเสีย ถึงการนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งสิ้น
สายฝนจากอากาศตกลงสู่ทะเล แต่ทะเลก็มิเคยพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้น ฉันใด สาวกของเราก็ฉันนั้นคือถึงจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏถึงความพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น
ทะเลมีรสอันเดียวคือ รสเค็ม ฉันใด ธรรมวินัยของเราก็ฉันนั้น คือมีรสเดียว ได้แก่ วิมุตติรส และทะเลมีรัตนะหลายชนิด ดังนี้คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ แก้วประกาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต สังข์ ศิลา ฉันใด พระธรรมวินัยของเราก็ฉันนั้น คือ มีรัตนะหลายชนิด ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรค 8
ทะเล เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ประกอบด้วย ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ ฉันใด พระธรรมวินัยของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือเป็นที่อาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
นี่แหละคือสิ่งอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา


