เค้าว่าหนูเป็น ‘ดิสเล็กเซีย...’!?
หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน หรือรู้จักคำว่า “ดิสเล็กเซีย” มาก่อน จนกระทั่ง... เค้าเล่าลือกันว่า
โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน หรือรู้จักคำว่า “ดิสเล็กเซีย” มาก่อน จนกระทั่ง... เค้าเล่าลือกันว่า คนใหญ่คนโตคนหนึ่งต้องสงสัยว่ามีอาการอย่างว่า ทำให้พูดติดๆ ขัดๆ ผิดๆ ถูกๆ ทุกบ่อยๆ ว่าแต่ ดิสเล็กเซียนี่เป็นยังไงนะ
พ่อแม่หลายคนบ่นเรื่องลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายดีกว่ากัน ขณะที่อีกหลายคนนึกแค่ว่า ขอแค่ครบ 32 ประการก็พอใจแล้ว แต่ถึงวันนี้คุณอาจต้องภาวนาเพิ่มขึ้นอีกหน่อยว่า ครบ 32 ประการและไม่เป็นดิสเล็กเซียด้วย !!
รศ.นิชรา เรืองดารกานนท์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ดิสเล็กเซีย คือ ภาวะอย่างหนึ่งของคนที่มีปัญหาในการเรียนรู้ ที่เรียกกันว่า แอลดี หรือเลินนิง ดิสอะบิลิตี (LDLearning Disability) ได้แก่ การมีความบกพร่องเกี่ยวกับทักษะด้านการเรียนรู้ ประกอบด้วย การเขียน การอ่าน และการคำณวน ภายใต้ภาวะปกติหรือสิ่งแวดล้อมที่ปกติ เด็กไม่สามารถอ่าน เขียนหรือคำณวนได้
“เมื่อเราพูดถึงเด็กดิสเล็กเซีย เราหมายถึงเด็กที่มีภาวะอ่านไม่ออก ภายใต้สิ่งแวดล้อมปกติ และความเป็นปกติของเด็ก เด็กเป็นปกติทุกอย่าง แต่ทักษะการเรียนรู้บกพร่องไป ทำให้อ่านไม่ได้ตามเกณฑ์”รศ.นิรชา กล่าวอีกว่า ความรุนแรงขึ้นอยู่กับอาการที่เป็น เด็กดิสเล็กเซียบางคนอยู่ชั้น ป.6 แล้ว แต่อ่านหนังสือไม่ได้ หรืออ่านได้แค่ระดับของเด็ก ป.1 หรือต่ำกว่าเด็ก ป.1
สำหรับสาเหตุการเกิดอาการดิสเล็กเซีย รศ.นิรชา กล่าวว่า เกิดจากสมองที่ทำงานผิดปกติ กระบวนการทำงานของระบบประสาทจึงบกพร่อง ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่กรรมพันธุ์ ปัญหาระหว่างคลอด การขาดสารอาหาร หรือการได้รับสารเคมี ฯลฯ ดิสเล็กเซียถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์และเชื่อมโยงได้กับโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่น โรคสมาธิสั้น ออทิสติก ซึ่งพบว่าอาการคล้ายกัน เหม่อ สมาธิสั้น เรียนไม่ได้
การเรียนรู้เรื่องภาษาในเด็กเล็กจะมีช่วงรอยต่อระหว่างภาษาอ่านและภาษาเขียน สมองที่เชื่อมโยงการทำงานในช่วงรอยต่อนี้เองที่มีปัญหา ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ช้าและยากลำบาก อาการมีตั้งแต่พูดเป็นคำไม่ได้ พูดได้น้อยกว่าปกติ เล่าเรื่องไม่ได้ ติดอ่างวกวนไปมา ไม่เข้าใจคำศัพท์ การมองเห็นของเด็กกลับด้าน
“เด็กไม่ได้มีปัญหาสายตา เด็กเห็นชัด งานวิจัยพิสูจน์ว่า การมองเห็นปกติ แต่เด็กมีปัญหาเห็นตัวอักษรได้ไม่ดี โดยเฉพาะอักษรบางตัวที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น ตัว d กับตัว b เสียงใกล้กัน และเขียนก็คล้ายกัน หรือตัว ผ กับตัว พ เสียงใกล้กัน และเขียนก็ห่างกันแค่หมุนหัวเข้า หมุนหัวออก” รศ.นิรชา กล่าว
เมื่ออ่านไม่ได้ เรียนรู้ไม่ได้ ปัญหาการใช้ชีวิตก็ตามมา องค์ความรู้ของชีวิตถูกตีกรอบอยู่ภายใต้การอ่านและการเรียนรู้ที่จำกัด งานหนักอยู่ที่พ่อแม่ผู้พยายามมองให้เห็นอนาคตลูก แต่ที่มองเห็นคงมีและเป็นเป็นไปภายใต้ข้อจำกัดล้วนๆ ดิสเล็กเซียรักษาหายได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ ในกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย และคำตอบเป็นตรงกันข้ามกับกลุ่มที่มีอาการมาก
“เด็กอาจมีความจำที่ดี การเรียนการสอนอาจเน้นไปที่ทักษะการจำ ใช้วิธีจำรูปคำ เพื่อความเข้าใจ ถ้ามีครูที่เข้าใจ มีเทคนิคการสอนเสริมที่ดี พัฒนาทักษะด้านดีด้านอื่นของเด็ก เพื่อช่วยให้เขาสามารถเรียนรู้ได้ เด็กก็ไม่มีปัญหา” รศ.นิรชา กล่าว
ในงานวิจัยต่างประเทศ ใช้หลายเทคนิคเพื่อการสอนเสริมในเด็กดิสเล็กเซีย มีการใช้ของเล่นที่เป็นตัวหนังสือมาให้จับ มีการใช้เกมคอมพิวเตอร์ โดยเป็นที่เด็กสามารถสัมผัสได้ทั้งรูปและเสียง หรือเห็นรูปเห็นเสียงพร้อมกัน หลายเทคนิคเริ่มเห็นในคอร์สอบรมในบ้านเรา และโรงเรียนอินเตอร์เนชันแนลหลายแห่ง สิ่งที่ได้ผลคือครูการศึกษาพิเศษ ซึ่งจะสอนเสริมเหมือนเด็กเรียนอ่อนทั่วไป
รศ.นิชรา กล่าวอีกว่า ตัวเลขของผู้มีอาการดิสเล็กเซียในไทยคือ 10% ตัวเลขสูงแต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการหนัก ถ้าเป็นน้อย แล้วมีการช่วยเหลือของครูหรือพ่อแม่ที่ดี จะเป็นไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ดูเหมือนคนปกติ เมื่อโตขึ้นจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ก็จะจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่ชอบอ่านเขียนมาก
โตขึ้นก็ดีขึ้น แต่ความบกพร่องเหล่านี้ก็จะยังคงหลงเหลืออยู่ หากจะดีขึ้นตามประสบการณ์การเรียนรู้เป็นคนคนไป ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับไอคิว หลายคนเข้าใจว่าดิสเล็กเซียเป็นกลุ่มไอคิวต่ำ แต่คนฉลาดหลายคนเป็นโรคนี้ และอีกหลายคนที่ช่วยกันพิสูจน์ให้เห็นว่าดิสเล็กเซียคืออาการที่ชีวิตเอาชนะได้ เช่น สตีเวน สปีลเบิร์ก เฮนรี ฟอร์ด โทมัส แอลวา เอดิสัน วินสตัน เชอร์ชิล หรือแม้กระทั่งไอน์สไตน์ ที่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็น
“ไอน์สไตน์นั้น น่าเชื่อว่าจะมีปัญหาเรื่องออทิสติก หรือดิสเล็กเซีย เขาพูดได้ตอน 5 ขวบ ถูกตราหน้าจากครูว่าโง่งั่ง หัวช้า ทั้งๆ ที่ต่อมาพวกเราก็รู้กันแล้วว่า เขาคืออัจฉริยะ เด็กดิสเล็กเซียหลายคนโตขึ้นเป็นแพทย์ เป็นวิศวะ ดิสเล็กเซียจึงไม่ใช่ข้อบกพร่องทางไอคิว” รศ.นิชรา กล่าว
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่สังเกตเห็นอาการดิสเล็กเซีย เริ่มสังเกตได้ตั้งแต่เด็กเล็กจนเด็กโต ส่วนใหญ่ 50% เด็กจะมีปัญหาเรื่องภาษาในช่วงหัดพูด 35 ขวบ เด็กพูดไม่ชัด ความสามารถทางภาษาบกพร่อง พูดแล้วสลับคำกัน สลับไปสลับมา เด็กบางคนที่มีปัญหาข้ออ่อนด้อยแบบนี้ พ่อแม่อาจปรึกษากับคุณครูที่โรงเรียนถึงสัญญาณที่บอกได้คร่าวๆ โดยเด็กได้เรียนรู้แบบพิเศษไปเลย เพื่อไม่เสียโอกาสการพัฒนาทักษะ
“รามาฯ สนใจตั้งแต่ตอนเล็กๆ แก้ตั้งแต่ตอนเล็กๆ แนวคิดของเราคือสอนเสริมไปเลยตั้งแต่อาการยังไม่ชัด มีงานวิจัยของอังกฤษและอเมริกาว่า การสอนเสริมช่วยให้ทักษะการอ่านดีขึ้น คลื่นสมองก่อนกับหลังการให้เด็กฝึกทักษะการฟังและแยกแยะระบบเสียงในภาษา พบว่าคลื่นสมองของเด็กทำงานต่างกันอย่างชัดเจน งานวิจัยของเราก็ให้ผลเช่นเดียวกัน” รศ.นิชรา กล่าว


