posttoday

แลสนเมืองหนาวบนยอดดอย

02 ธันวาคม 2554

โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม

โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม

เดือน พ.ย.ปีนี้ อากาศหนาวมาเร็ว ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนภัยหนาว ซึ่งมากับมหาอุทกภัยเหมือนจะซ้ำเติมผู้คนหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากเราจะหนีภัยหนาวขึ้นดอยไปสักระยะหนึ่ง เราพบตัวเองว่ากำลังเข้าเขต อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อทดลองวิจัยพืชผัก ไม้ผล ไม้ประดับ และทรงโปรดให้มีการนำเอาพันธุ์ไม้ยืนต้นมาปลูกแทนป่าไม้ดั้งเดิมที่ถูกตัดทำลายเป็นเขาหัวโล้นและทุ่งหญ้าคา ซึ่งเกิดขึ้นหลังทำไร่เลื่อนลอยและปลูกพืชเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝิ่น พันธุ์ไม้ยืนต้นซึ่งมีการปลูกบนยอดดอยนั้นมีสนเป็นส่วนใหญ่ สนจากเมืองหนาวเหล่านี้ถูกนำเข้ามาจากประเทศนิวซีแลนด์ อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี 2532-2534 โดยองค์อำนวยการโครงการหลวง คือ ม.จ.ภีศเดช รัชนี

สนส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดใหญ่น้อยแตกต่างกันไปจนถึงไม้พุ่มเตี้ย บ้างก็เลื้อยคลุมดินให้ความงดงามทั้งรูปทรงใบที่มักเล็กแคบคล้ายเข็มหรือแบนเป็นเกล็ดก็มี สีสันของใบแตกต่างเฉดสีกันไป แม้ในช่วงฤดูร้อนฤดูหนาวก็คงความเขียวขจีอยู่โดยตลอด สนทุกชนิดมียางไม้กลิ่นหอมที่เรียกว่า ยางสน หรือเรซิน (Resin) สนนั้น ฝรั่งเรียกว่า คอนิเฟอร์ (Conifer) มีมากมายหลายกลุ่มดังเช่นที่ผู้เขียนสำรวจจากดอยอ่างขางแล้วพบว่าแบ่งได้เป็นกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้

แลสนเมืองหนาวบนยอดดอย

 

กลุ่มเฟอร์

เป็นสนในสกุลเอบีส์ นับเป็นสนที่คลาสสิกมาก เพราะมีพุ่มแน่น มีใบแน่นสีเขียวครามไล่ไปจนถึงเขียวตองอ่อน เขียวมะกอก น่าดูชมจริงๆ ต้นมักเตี้ยแคระ โตช้า จึงเหมาะแก่การปลูกประดับสวนหิน (Rock Garden) ข้อเสียคือ โตช้า ต้องปลูกในที่ระบายน้ำดี และชอบอากาศหนาวเย็นทั้งปี ไม่ชอบอากาศร้อนชื้นร้อนแห้งแบบกรุงเทพมหานคร (กทม.) เลย

กลุ่มสนฉัตร

สนในสกุล Araucaria นี้ คนไทยมักคุ้นกับสนฉัตร (Norfolkl Island Pine : Araucaria excelsa) มานาน เพราะปลูกได้ดีใน กทม. แม้จะไม่ได้เห็นเมล็ดสนฉัตรกันเลย นอกจากจะสั่งมาเพาะจากเมืองนอก สนฉัตรยังติดเมล็ดบนดอยอ่างขางเช่นกัน สนฉัตรอีกชนิดที่ไม่ค่อยเห็นในบ้านเราคือ Araucaria araucana หรือ Monkey Pizzle Tree ที่ผู้เขียนอยากจะตั้งชื่อว่า “สนลิงงง” สนสกุลนี้ทั้งหมดมาจากซีกโลกใต้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอเมริกาใต้ สนลิงงงมีลักษณะเด่นคือ มีกิ่งก้านยาว ปกคลุมด้วยใบคล้ายเกล็ดซ่อน ปกคลุมกิ่งก้านเอาไว้ พวกนี้มีลำต้นเพศผู้และเพศเมีย หรือมีดอกเกิดอยู่แยกเพศคนละต้น เมล็ดแอบอยู่ในอวัยวะที่เรียกว่า โคน (Cone) ขนาดใหญ่ทรงกลม

กลุ่มสนไซเพรส (วงศ์ Cupressaceae) สกุลชาเมไซพาริส (Chamaecyparis)

พวกนี้ฝรั่งเรียกว่า False Cypresses เนื่องจากไม่ใช่สกุลไซเพรสที่แท้นั่นเอง บนดอยอ่างขางพบสนสกุลนี้มากที่สุด เนื่องจากมีการนำเข้ามาจากนิวซีแลนด์และอังกฤษ โดยองค์อำนวยการโครงการหลวง ม.จ.ภีศเดช รัชนี ทรงนำเข้ามาเองหลายครั้ง เพราะทรงโปรดสนเมืองหนาวอยู่มาก สนสกุลนี้มีอยู่ราว 6 ชนิด แต่แตกออกไปเป็นร้อยๆ พันๆ คัลติวาร์ (Cultuvars) หรือพันธุ์ปลูกการค้า และเนื่องจากมันมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่ใหญ่ไปหาเล็ก หลายรูปทรง หลายสีสัน เราจึงพบว่ามันถูกปลูก ดัด และตัดแต่งกิ่งจนกลายเป็นสนบอนไซสวยงามประดับประดาอยู่ในสวนบอนไซไม้แคระของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

แลสนเมืองหนาวบนยอดดอย

 

สนกลุ่มที่ 3 ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปคือ

กลุ่มสนซีดาร์ (Japanese Cedars : Cryptomeria วงศ์ Taxodiaceae)

บนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางและสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์มีปลูกอยู่ชนิดเดียวคือ สนซูหงิ (Cryptomeria japonica) ซึ่ง C. fortunei นั่นมาจากจีนตอนใต้และไต้หวัน

สนกลุ่มที่ 4 ได้แก่

กลุ่มสนไซเพรสแท้ คือ Cupressus ในวงศ์ Cupressaceae

ทั่วโลกมีราว 20 ชนิด และหลายร้อยพันธุ์ปลูกเป็นการค้า แต่ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางมีเพียง 2 ชนิดคือ Cupressus arizonica และ C. sempervirens var. Stricta ซึ่งดูจะปลูกง่ายกว่าชนิดแรก

ส่วนกลุ่มสุดท้ายได้แก่

กลุ่มสนจูนิเปอร์ (Juniperus วงศ์ Cupressaceae)

สนจูนิเปอร์มีอยู่หลายชนิด เช่น Juniperus chinensis ที่เรียกกันว่าสนจีน มีมากมายหลายพันธุ์ J.communis, J. conferta, J. davurica, J. sargentii และอื่นๆ อีกหลายชนิด

นอกจากนี้ บนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังมีพืชในกลุ่มสน แต่อยู่ในสกุลจิงโกะ (Ginkgoaceae) คือ Ginkgo biloba (Maidenhair tree) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในฉบับต่อไป

&<2288;

 

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568