อิทธิบาท4พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
ธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวได้หลายนัย แต่ละสิ่งละอย่างละนัยที่ท่านกล่าวเอาไว้เป็นข้อ สอนกายสอนใจของมนุษย์
ธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวได้หลายนัย แต่ละสิ่งละอย่างละนัยที่ท่านกล่าวเอาไว้เป็นข้อ สอนกายสอนใจของมนุษย์
โดย..ภัทระ คำพิทักษ์
ไม่ใช่เหลือวิสัยของผู้ประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ว่าเป็นของสำคัญ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อยากรู้อยากเห็น อยากสำเร็จ พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ คือ อิทธิบาท เป็นสิ่งที่สำเร็จความปรารถนาของบุคคลทั่วไป
อิทธิบาทนั้นท่านถือว่าเป็นธรรมสำคัญที่เราปรารถนาอย่างใด ถ้าหากประพฤติไปตามเรื่องของอิทธิบาท ผู้นั้นจะได้สำเร็จตามความมุ่งมาดปรารถนา เราพินิจพิจารณาเรื่องอิทธิบาทที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้
อิทธิบาท 4 ข้อต้นท่านสอนว่า ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งที่ตนปรารถนา สิ่งที่ตนต้องการ ต้องการอยากจะเป็นเทพบุตรเทพธิดา ก็พอใจรักใคร่ และกระทำสำหรับจะทำตัวให้เป็นเทพบุตร เทพธิดา คนอยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปอยู่ปราสาทวิมานต้องการความสุขความสบายอย่างนั้น เหตุผลที่บุคคลเหล่านั้นได้ไปสวรรค์มีทำอะไรควรที่พวกเราจะสนใจ และทำอย่างนั้น
เช่น ทาน การบริจาค ท่านก็กล่าวว่า เป็นทางที่จะให้ไปสู่สวรรค์ เมื่อเรารู้ว่าทานการบริจาคเป็นทางไปสู่สวรรค์ได้ เราก็สะสมการให้ทานให้มากในกายในใจของเรา ผู้นั้นเมื่อขาดอัตภาพจากธาตุขันธ์ ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ตามความมุ่งมาดปรารถนา
หรือมีหิริโอตตัปปะ เกรงบาปกลัวบาป ซึ่งเป็นธรรมของเทวดา ผู้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้น ก็สำเร็จตามความมุ่งมั่นปรารถนา จะได้ไปเป็นเทพบุตรเทพธิดา นี่หมายถึงฉันทะ ฉันทะตัวนี้เป็นตัวสำคัญ
ผู้มุ่งมั่นอยากจะไปพรหมโลก ฝึกจิตอบรมใจของตนให้เป็นสมาธิ ให้มีฌานสมาบัติสำหรับจิตใจ เมื่อจากอัตภาพไปก็ไม่ผิดหวัง
ผู้ที่อยากจะพ้นไปจากสมมติทั่วไปถึงขั้นสูงสุด หมายถึงพระนิพพาน ก็สร้างคุณงามความดีตามมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ มันก็ไม่เหลือวิสัย จะต้องไปถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพานได้เหมือนกัน นี่หมายถึงฉันทะ ความพอใจรักใคร่อยากได้ในสิ่งนั้นๆ ถ้ามีฉันทะ ความรักใคร่ ความพอใจแล้ว อยากจะไปสถานที่ใด ถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่เหลือวิสัยทำอะไร ถ้าหากมีความพอใจรักใคร่ คนนั้นถึงจะไม่เคยกระทำ แต่ทว่าความพอใจมีบ่อย หมั่นพินิจพิจารณาอยู่บ่อย
เมื่อทำไม่หยุดไม่ถอยก็ทวีคูณขึ้น พูดถึงด้านบุญ ด้านกุศล หรือพูดถึงด้านการงานภายนอก เมื่อทำไม่หยุดไม่ถอย ศึกษาไม่หยุดไม่ถอย มีใจรักใคร่พอใจในสิ่งเหล่านั้น พยายามอยู่ไม่ถอย ก็สำเร็จเป็นผลเป็นประโยชน์ได้เหมือนกัน ความรักใคร่พอใจในสิ่งใด
สิ่งนั้นท่านเรียกว่าอิทธิบาทคือ ฉันทะข้อต้น
ทุกคนที่มุ่งหวังอยากไปสู่สถานที่ดีมีความสุข ให้พินิจพิจารณาจิตใจของตนว่ารักใคร่ความสุขจริงจังไหม เมื่อรักใคร่ความสุขจริงจัง คนที่จะไปสู่ความสุขได้ ท่านทำอย่างไร ก็ให้พิจารณาถึงแนวแถวการกระทำของผู้นั้นๆ ที่ท่านได้รับความสุข ความสบาย
เมื่อมีฉันทะความพอใจรักใคร่ วิริยะ ข้อที่สองจะต้องโผล่หน้าตามมา คือ หมั่นเพียรในกิจการนั้นๆ ไม่วางธุระ จะทำหน้าที่อะไร เดินจงกรม ภาวนา ให้ทาน รักษาศีล หรือจะทำการงานภายนอกก็เหมือนกัน มีความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ความพากเพียรต้องติดตามมา คือพากเพียรพยายามติดตามรักษา พากเพียรพยายามกระทำในสิ่งที่ตนรักใคร่ ไม่ปล่อยไม่วาง ผิดถูกอย่างไร หมั่นพินิจพิจารณาศึกษาในตัวเรื่อยๆ ไป
เอาใจใส่เป็นพิเศษในสิ่งที่ตนรักใคร่ ตนพากตนเพียรนั้นๆ เรียกว่า จิตตะ คือความเอาใจใส่ ไม่ใช่ทำไปเฉยๆ จะนั่งภาวนาหลับหูหลับตาบริกรรม ก็ให้เอาใจใส่จริงๆ จังๆ ไม่ปล่อยสติลอยลม กำหนดอะไรจดจ้องอยู่นั้น จนให้เห็นคุณเห็นประโยชน์จากการกระทำบำเพ็ญของตน
ถ้าหากจิตใจเลอะเลือนจากคำบริกรรมของตน ก็ให้หมั่นแนะสอนตนว่า การปล่อยจากบริกรรมหรือทำใจเลอะเทอะ ไม่เอาจริงจัง ผลเกิดขึ้นอย่างไร ที่เราเคยทำมา ถ้าหากเราเหลวไหลในกาลนี้ เวลานี้ ต่อไปเราคนเก่าก็จะเหลวไหลอย่างเก่า
เมื่อผูกมัดจิตใจไว้อย่างนั้น ตั้งใจจดจ่อจริงจังในคำบริกรรมของตน จะกำหนด พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ นี้ อรหํ สวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน หรืออะไรก็ตาม จนให้เห็นผลจากการกำหนดของตน คือให้จิตเกิดความลงรวม หรือเกิดความสว่างไสว เยือกเย็นลงไปได้ ถึงค่อยหยุดค่อยถอย
ถ้าหากทำเพียงลูบๆ คลำๆ ทำไปพอเสียไม่ได้ ไม่เอาใจใส่ ไม่มีการรักใคร่ ไม่มีการพากเพียรพยายาม ขาดฉันทะ วิริยะ จิตตะ จิตของเราก็เข้าถึงจุดไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่สมหวัง สมปรารถนา
ท่านจึงสอนให้มีอิทธิบาททั้งสี่ คือ ฉันทะ ความพอใจ รักใคร่ในหน้าที่การงาน ในการบุญการกุศล การพากการเพียร วิริยะ พากเพียรพยายามตามความปรารถนา หรือความรักใคร่ชอบพอของตน จิตตะคือ เอาใจใส่อยู่ทุกกาลทุกสมัย ไม่ปล่อยเผลอเลอะลอย มีสติจดจ้องอยู่ในสิ่งที่ตนต้องการ วิมังสา หมั่นสืบสอบทบทวนดูเรื่องความเสียหาย หรือรายได้อย่างไรที่ตนทำลงไป นี่ได้ชื่อว่าอิทธิบาท
คนที่มีอิทธิบาททั้งสี่ประจำจิตประจำใจของตน พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใด ก็สมความมุ่งมาดปรารถนาไม่เหลือวิสัย แต่จิตใจของเรา อยากได้อย่างนั้น ชอบอย่างนี้ อยากดีอยากเด่น อยากรู้อยากเห็น มีแต่ความอยาก ฉันทะความรักใคร่ในหน้าที่ ที่จะนำไปสู่ความต้องการของตนไม่มี วิริยะ ความพากเพียรพยายามติดตามกระทำหน้าที่นั้นๆ ไม่มี จิตตะ ไม่เอาใจฝักใฝ่ วิมังสา ไม่ใคร่ครวญพินิจพิจารณา เหตุนั้นจึงไม่สมหวังในเรื่องที่ตนต้องการ
ถ้าหากเรามีอิทธิบาททั้งสี่ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ประจำตัวพร้อมมูลอยู่แล้วเรื่องทุกสิ่งอย่างที่เราปรารถนา เราต้องการ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่เหลือวิสัย นี่เป็นเป็นพุทธวาจาที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ และถ้าหากพิจารณาจริงจังก็เป็นของแน่นอน
หากจิตของเราไม่ถอดไม่ถอน ชอบใจรักใคร่ในสิ่งใด มีความพากเพียรพยายามในสิ่งนั้น เอาจิตใจฝักใฝ่ใคร่ครวญ พินิจพิจารณา ทบทวนดูรายได้รายเสียโดยไม่ปล่อยธุระหน้าที่ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการงานภายนอก หรือการงานภายใน จะเป็นงานทางโลกหรือทางธรรม ผู้นั้นหากมีความสมัครรักใคร่ มีความพากเพียรและเอาใจใส่คิดนึก และสืบถามดูเรื่องนั้นแน่นอนลงไป โดยไม่ปล่อยใจลอยลม เอาใจใส่อยู่อย่างนั้น อย่างไรก็ไม่เหลือวิสัย ไม่ว่าการงานแผนกไหน จะต้องได้สมความมุ่งมาดปรารถนาของใจ
เหตุนั้น เราทุกท่านที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา บางท่านบางคนก็สนใจอยากจะเกิดอีก แต่อยากจะมีความสุข อยากจะมีความเจริญ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากจะเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งสมบูรณ์ หรือบางท่านบางคนอยากจะไปเกิดบนสวรรค์ อยู่ปราสาทราชวัง มีความสุข ความเจริญ
เหตุเหล่านี้ ความปรารถนาในใจเหล่านี้ เป็นต้นเหตุ?? แต่ทว่า ฉันทะ ความพอใจอยากจะได้อย่างนั้น เหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไรในผู้ที่ได้ที่ถึง ผู้ที่รู้ที่เห็น ที่เป็นที่ไป
เมื่อเราสืบสอบเรื่องเหตุเหล่านั้น ท่านผู้ที่จะไปสวรรค์ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีทาน มีศีล ต้องเป็นผู้ที่มีเมตตา ต้องเป็นผู้ที่มีธรรมประจำตัว หิริโอตตัปปะ เกรงบาปกลัวบาป ไม่กล้ากระทำผิดชั่วทั่วไป หากจิตใจของเราเป็นอย่างนั้น ก็จะได้ไปสวรรค์สมความมุ่งมาดปรารถนาผู้ที่อยากหลุดพ้นไปจากกิเลสตัณหา ก็หมั่นศึกษาพยายามทำตามมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงแนะสอนเอาไว้ อุตส่าห์พยายามตรวจดูจิตใจของตนอยู่ทุกวันทุกเวลา
สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ เห็นชอบยัง...จิตใจของเราทุกวันนี้ หรือเห็นเป็นไปแบบไหน เป็นมิจฉาทิฐิ หรือเป็นสัมมาทิฐิ ให้พิจารณาจิตใจของตนทุกวันทุกเวลาทุกระยะ คิดปรุงอะไรซึ่งเป็นไปในทางดีแล้ว เป็นไปในทางมรรคแล้ว ให้หมั่นคิดปรุงอยู่บ่อยๆ อย่าไปถอย ให้มรรคเพียงพอขึ้น
เห็นทุกข์ในการเกิด การตาย การเวียนว่ายในวัฏสงสาร เห็นการเกิดเป็นบ่อของความทุกข์ใหญ่โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่มีเกิด ไม่มีตายในเราแล้ว โรคภัยก็ไม่มีที่เกาะ
ถ้าไม่มีเกิด แก่ก็ไม่มี ตายก็ไม่มี เกิดจึงเป็นภัยอันตรายสำคัญ ที่ท่านนักปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ต้องกำหนดให้รู้ รู้ทุกข์เพราะการเกิดเป็นส่วนใหญ่
เกิดขึ้นมาแล้ว อะไรต่ออะไรทั่วไป มันยึดมันถือ อยากดิ้นรนกระวนกระวาย หามาบำรุงร่างกาย บำรุงความเกิด แต่ก็ป้องกันความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ เพราะเกิดเป็นต้นเหตุ
เมื่อเห็นเกิดเป็นเรื่องทุกข์ การที่จะดับความเกิด เราจะดับอย่างไร ถ้าหากเราเห็นว่าเกิดเป็นภัยอันตราย เกิดเป็นทุกข์ใหญ่อย่างนั้น การไม่อยากเกิดก็ต้องดับเรื่องตัณหา ตัณหาความอยาก เป็นของสำคัญที่จะก่อให้จิตใจเราท่านเกิดทุกข์ ถ้าหากหมดจากความอยากเมื่อไร ความทุกข์เรื่องของใจจะดับไปทันที
ความทุกข์เรื่องของใจดับได้ด้วยการเจริญมรรค
ส่วนความทุกข์เรื่องของกาย เมื่อใดไม่แตกไม่ตาย ยังเป็นอยู่ ทุกข์ประจำขันธ์ที่พระอริยเจ้าท่านกล่าวเอาไว้ ดับไม่ได้ เมื่อใดขันธ์แตกสลาย เมื่อนั้นทุกข์ประจำขันธ์จึงจะดับไป ถ้าขันธ์ยังอยู่ การหิว การกระหาย การเหน็ดการเหนื่อย การหลับการนอน จะต้องมีประจำอยู่ในเรื่องของขันธ์
เพราะจิตอาศัยขันธ์ แต่เรื่องของขันธ์ไม่เป็นโทษภัยใหญ่โตพอที่พระอริยเจ้าทั่วไปกลัวกัน ท่านกลัวเรื่องทุกข์ของใจ เพราะขันธ์ไม่กาลใดก็สมัยหนึ่ง จะต้องแตก จะต้องสลาย เมื่อตายไปแล้ว สลายหายไปแล้ว ไม่ก่ออีก ไม่เกิดอีก
ท่านกลัวเรื่องความเกิด กลัวจิตที่วกวนมาถือภพถือชาติต่างๆ เหตุนั้นท่านจึงดับเรื่องของใจ ประพฤติปฏิบัติเพื่อปล่อยละ กำจัดถอดถอนจิตใจที่ไปยึดไปถือ ที่เรียกว่าตัณหา
ตัณหา คือ ความอยาก ความอยากของใจ ทุกท่านทุกคนมีความอยาก เมื่อยังไม่ถึงที่สุดจุดหมาย มีความอยากเป็นธรรมดา ถ้าหากอยากไปในทางมรรค ไปในทางดี ไปในทางธรรมทางวินัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นมรรค
ถ้าอยากไปในทางโลก อยากไปในทางผิด ถือว่าเป็นสมุทัย คือจะทำจิตทำใจให้วุ่นวาย ความอยากจึงเป็นเชื้ออันหนึ่งซึ่งนำพวกเราท่านให้พากันประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี ถ้าไม่มีความอยากก็ทำไม่ได้ การที่เราทำได้ก็เพราะความอยาก เราเดินจงกรมภาวนาก็เพราะความอยากให้จิตใจของเราสว่างไสว อยากให้จิตใจของเราสงบสงัด เราให้ท่าน ก็อยากให้เราได้บุญได้กุศล จึงค่อยทำลงไปได้
อยากส่วนนี้ไม่ใช่อยากส่วนสมุทัย เป็นอยากฝ่ายมรรค คืออยากในคุณความดี ถ้าหากเรายังไม่ได้ดีเต็มที่เต็มฐาน มีความอยากอยู่เสียก่อน ความอยากส่วนนี้ เหมือนกันกับเราขี่เรือข้ามน้ำ ต้องอาศัยไปเสียก่อน ต่อเมื่อเรือของเราข้ามน้ำถึงฝั่งเมื่อใด เราก็ไม่จำเป็นที่จะแบกหามเรือไป ว่ามันให้คุณให้ประโยชน์แก่เรา ไปสถานที่ใด จะแบกจะหามเรือไป เราข้ามฝั่งได้เพราะอาศัยเรือลำนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องทิ้งจะต้องปล่อย ถ้าไปถึงฝั่งเมื่อใด เราจะไปแต่ตัวของเราอย่างสะดวกสบาย
นี่การดำเนินทางจิตทางใจ ก็อาศัยความอยากเสียก่อน แต่ความอยากเป็นฝ่ายของมรรค ไม่ใช่อยากเป็นฝ่ายทางสมุทัย


