เที่ยวปักกิ่ง–ซานตง ไปกับรถไฟความเร็วสูง
การไปเที่ยวปักกิ่งของคนไทยไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ น่าจะเป็นเรื่องคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
การไปเที่ยวปักกิ่งของคนไทยไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ น่าจะเป็นเรื่องคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ แต่การเที่ยวปักกิ่งและประเทศจีนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร หลังจากจีนผงาดขึ้นมามีบทบาททางเศรษฐกิจในภูมิภาคและโลกมากขึ้น โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ
ขณะเดียวกัน จีนยังได้พัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศและอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยว ทำให้ในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี นักท่องเที่ยวที่กลับมาเยือนจีนอีกครั้งถึงขั้นอ้าปากค้างไปกับศักยภาพการพัฒนาในเวลาที่รวดเร็วของจีนยุคนี้ได้ไม่ใช่น้อย
สำหรับภาคการท่องเที่ยว จีนได้เปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ สายปักกิ่งเซี่ยงไฮ้ หรือในภาษาจีนเรียกว่า รถไฟความเร็วสูงสายจิงฮู่ ซึ่งเปิดให้บริการไปเมื่อเดือน มิ.ย. 2554 ที่ผ่านมา มีระยะทางยาวถึง 1,318 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางตลอดสายประมาณ 5 ชั่วโมง วิ่งเฉลี่ย 300-350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางและอำนวยความสะดวกให้กับภาคขนส่งและภาคการท่องเที่ยวได้ค่อนข้างมาก เพราะช่วยให้เสียเวลาในการเดินทางน้อยลง เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางไปแต่ละเมืองค่อนข้างนาน
ที่สำคัญ รถไฟมีการจัดระบบการวิ่งในหลายรูปแบบให้เลือกด้วย คือ วิ่งรวดเดียวถึงสถานีปลายทางเลย หรือจอดสถานีตามเมืองใหญ่ หรือจอดทุกสถานีที่ 19 สถานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ก็มีให้เลือกได้ตามสะดวก แถมราคาค่าตั๋วยังถูกกว่านั่งเครื่องบินด้วย
ผลจากการมีรถไฟความเร็วสูงนี้ ช่วยให้การท่องเที่ยวในประเทศจีน
ของคนจีนเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาน่าสนใจและคึกคักขึ้นมากทีเดียว เพราะรถไฟความเร็วสูงสายนี้ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกของประเทศ กินพื้นที่ถึง 7 มณฑลสำคัญทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ คือ เหอเป่ย์ ซานตง อันฮุย เจียงซู ปักกิ่ง เทียนจิน และเซี่ยงไฮ้
ส่วนความนิยมต่อรถไฟความเร็วสูงของคนประเทศว่านิยมรถไฟขนาดไหนนั้น “คุณเก๋” ไกด์นำเที่ยวของทริป “นั่งรถไฟความเร็วสูง มุ่งสู่อารยธรรมจีน ปักกิ่งซานตง” กับบริษัท ซีพีออลล์ เล่าว่า หลังจากมีรถไฟความเร็วสูงใช้ในหลายพื้นที่ ทำให้แผ่นดินจีนแคบลง เชื่อมโยงกันได้มากขึ้น ทำให้ประชาชนปักกิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มากไปกว่านั้นยังช่วยให้ความฝันของคนจำนวนไม่น้อยที่นิยมชมชอบในตัวประธานาธิบดี เหมาเจ๋อตง มาก สามารถเดินทางมาทำความเคารพประธานาธิบดี เหมา ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินได้ทันในเวลา 8 โมงเช้าสมดังตั้งใจ จากเดิมที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ก่อนตายจะได้มา เพราะบ้านอยู่ห่างไกลกรุงปักกิ่งมาก การเดินทางไม่สะดวก
สำหรับการเดินทางเยือนจีนครั้งนี้ นอกจากจะได้แวะเยี่ยมชมจัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งปัจจุบันมีสถานีรถไฟใต้ดินโผล่ด้านหน้าได้โดยสะดวก ทำให้มีผู้คนมาเยือนจำนวนมากมายไม่ขาดสาย อีกทั้งยังได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีนที่เพิ่งปรับปรุงครั้งใหญ่ และเริ่มเปิดให้บริการใหม่ไปเมื่อเดือน มี.ค.ปีนี้ด้วย โดยภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงลำดับเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ของการก่อเกิดของมนุษย์ในภูมิภาคนี้ กระทั่งการกำเนิดชนชาติจีนในยุค 5,000 ปีก่อน จนถึงยุคปัจจุบันไว้ให้ผู้สนใจชมได้ทั้งวัน ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้ไปเดินถนนหวังหวังฝูจิ่ง หรือถนนคนเดิน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะแวะมาถ่ายรูปยามค่ำคืน ถนนเส้นนี้จะปิดถึงประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ซึ่งถนนตลอดสายจะมีร้านค้าของสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังตั้งเรียงเต็มทั้งสองข้างทาง และยังมีของที่ระลึกให้เลือกซื้อมากมาย รวมถึงของกินแปลกๆ ตามวัฒนธรรมการกินของจีน อาทิ ผลไม้เคลือบน้ำตาล แมลงมีพิษสารพัดชนิดที่เชื่อว่าเป็นยาบำรุงต่างๆ นานา ฯลฯ ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองตลอดเส้นเลยทีเดียว
โดยโปรแกรมการเที่ยวข้างต้นนี้ สามารถจัดไว้ในวันเดียวกันได้ และส่วนใหญ่ทัวร์จะเตรียมไว้ในโปรแกรมต้นๆ ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงกรุงปักกิ่ง เพราะอยู่ในทำเลใกล้เคียงกัน เดินได้ถึงกัน เนื่องจากอยู่ในกลางกรุงปักกิ่งเหมือนกัน
ส่วนวันที่ 2 และ 3 ของทริป คณะเราเลือกจับรถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งไปมณฑลซานตง มณฑลนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะคือ สุสานขงจื๊อ และสุสานตระกูลข่ง ซึ่งที่นี่เป็นบ้านเกิดของขงจื้อ นักปราชญ์ผู้เลื่องชื่อที่อุทิศตนเพื่อประชาชน เป็นผู้มีปณิธานจะไม่ทำลายมนุษยธรรมเพียงเพื่อแลกกับการมีชีวิต แต่เลือกอุทิศตนเพื่อบรรลุมนุษยธรรมตลอดอายุไข 72 ปี ว่ากันว่าบ้านของขงจื้อที่ศาลาใหญ่หน้าลานบ้านน่าจะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกด้วยซ้ำ เพราะขงจื้อใช้เป็นสถานที่ที่สั่งสอนลูกศิษย์จำนวนมากจนถูกนำมากล่าวขานจวบจนปัจจุบัน
อีกแห่งที่น่าสนใจแวะไปเที่ยวคือ เขาไท่ซาน ซึ่ง ผศ.ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน บอกว่า เป็นภูเขาที่คนไทยควรแวะไปเยือน เพราะ “ไท่” แปลว่า “ไทย” ส่วน “ซาน” แปลว่า “ใหญ่” เปรียบไปก็เสมือนภูเขาของไทยหรือเขาใหญ่ ซึ่งที่นี่มีบริการกระเช้าขึ้นไปถึงครึ่งทาง หรือแค่เอวของภูเขา ส่วนใครจะชมยอดเขาต้องเดินขึ้นเอง วิวที่นี่สวยงามมาก เพราะสามารถมองได้รอบทิศสุดลูกหูลูกตา และที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นร่องรอยการมาเยือนของฮ่องเต้หลายพระองค์ที่มั่นใจว่าตัวเองทำความดีแล้วมาทำพิธีบอกเล่าต่อฟ้าที่นี่ ซึ่งมีอยู่หลายพระองค์ ส่วนฮ่องเต้ที่ไม่มั่นใจว่าได้ทำดีหรือไม่ ก็จะไม่กล้ามาบอกต่อฟ้าที่นี่ได้
และอีกที่ที่ควรแวะในมณฑลซานตงคือ เมืองจี่หนาน เมืองหลวงของมณฑลซานตง ซึ่งสามารถไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มณฑลซานตงที่มีประวัติศาสตร์บอกเล่าที่มาที่ไปของมณฑลและของประเทศไว้ให้ผู้สนใจศึกษามากมาย
ทั้งนี้ การเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งไปซานตงใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง การเดินทางค่อนข้างสะดวกมาก เพราะถึงแม้ผู้โดยสารจะมากแต่ไม่แออัด เนื่องจากผู้โดยสารทุกคนต้องมีที่นั่งของตัวเอง ห้ามยืน และยังมีตู้เสบียงซึ่งเป็นห้องอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยให้บริการอำนวยความสะดวกระหว่างทางด้วย
สำหรับมณฑลซานตง มีชื่อย่อว่า “หลู่” มีดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำมณฑล มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงคิดเป็น 1 ใน 9 ของประเทศ มีประชากรประมาณ 95 ล้านคน ขึ้นชื่อในเรื่องเป็นพืชพันธุ์และแหล่งผลไม้ อาทิ แอปเปิล สาลี่ ลูกท้อ ทับทิม ต้นหอม กระเทียม พุทราจีน ขิง ฯลฯ เพราะมีฤดูร้อนและหนาวที่ยาวนาน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส ร้อนสุด 23.5 องศาเซลเซียส หนาวสุดลบ 4.4 องศาเซลเซียส
ในวันที่ 4 ของการเดินทางด้วยรถไฟกลับมาที่ปักกิ่งเพื่อไปเยือนกำแพงเมืองจีน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ป้อม “ปาตาหลิ่ง” หรือป้อมที่ 8 ซึ่งเป็นป้อมที่สูงที่สุดของกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน ทอดยาวบนภูเขาสูงระหว่างแคว้นฉิน แคว้นจ้าว และแคว้นเยียน ความยาวนับหมื่นลี้เป็นที่มาของ “กำแพงหมื่นลี้” เปรียบเสมือนมังกรตัวยาวที่ขดตัวไปมาพาดผ่านดินแดนต่างๆ ของจีนกว่า 10 มณฑล เพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรูชาวชนเผ่าซวงหนูและตงหู ในอดีตยุคจ้านกว๋อที่สังคมวุ่นวายกลายเป็นประวัติศาสตร์และประติมากรรมสำคัญและยิ่งใหญ่ เพราะใช้แรงงานนับล้านคน เงินงบประมาณมหาศาล ใช้เวลาสร้างนานนับ 10 ปี กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้มาเยือนจีนตราบจนทุกวันนี้
ส่วนวันที่ 5 วันสุดท้ายของทริป เราเลือกไปเยี่ยมชมสุสาน 13 กษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง สิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ในอดีต ซึ่งสร้างอยู่ชานเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและน่าทึ่งในอดีต เพราะพระศพของกษัตริย์ พระมเหสี พระสนม พร้อมสมบัติ ถูกเก็บไว้ในสุสานลึกลงไปใต้ดินประมาณตึก 34 ชั้น การสร้างยุคนั้นใช้หินอ่อน แต่สามารถสร้างโดยไม่มีเสาค้ำหลังคาห้องโถงขนาดใหญ่ได้ สิ่งก่อสร้างสวยงามและยิ่งใหญ่อย่างนี้ ใครแวะไปเยี่ยมเมืองจีนก็ไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชม เพราะการเยือนจีนวันนี้อาจจะแตกต่างจากที่หลายคนเคยไปเห็นในอดีต เพราะจีนวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง


