posttoday

ธรรมปฏิบัติการอัญเชิญพุทธเมตตาเข้าสู่จิต(๒)

14 กุมภาพันธ์ 2553

สุขนั้นสั้นนัก แต่ทุกข์นั้นยาวนาน เราจึงมีความทุกข์อยู่เป็นปกติ เป็นธรรมดา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โต

สุขนั้นสั้นนัก แต่ทุกข์นั้นยาวนาน เราจึงมีความทุกข์อยู่เป็นปกติ เป็นธรรมดา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โต

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส [email protected]

“ธรรมส่องโลก” ในฉบับนี้ ขอขัดตาทัพก่อนนำสู่เรื่องที่คงค้างไว้ในฉบับที่ผ่านมาว่าด้วย “อนุโมทนาสาธุการจากการไปปฏิบัติศาสนกิจของอาตมาในชมพูทวีป (อินเดีย) จากโครงการ ธรรมจักรบูชาธรรมยาตรา สู่...มาฆบูชาโลก” ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๖๒๘ ก.พ.นี้ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ราชคฤห์ มคธชนบท (รัฐพิหาร) ซึ่งจะนำมาบรรยายสรุปให้ฟังในฉบับหน้า

วันนี้จึงขอนำธรรมปฏิบัติที่ได้สอนให้กรรมฐานกับ ม.ล.สราลี กิติยากร และคณะ เมื่อวันที่ ๑๗ ม.ค. ๒๕๕๓ มาให้สาธุชนผู้สนใจปฏิบัติ ได้ศึกษาเพื่อประกอบการปฏิบัติ อันเป็นอุบายวิธีที่ไม่ยาก สามารถอ่าน เข้าใจและปฏิบัติได้เลย จึงขอเจริญพรมายังศรัทธาผู้สนใจศึกษาธรรม เพื่อความเจริญในธรรม พึงน้อมนำไปปฏิบัติ จะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง หากมีปัญหาใดๆ จากการปฏิบัติ ให้จดหมายเข้ามาถามกันได้เลย...

ขอเจริญพร

ถ้าจิตคิดไปเรื่องอื่นๆ ก็ให้ดึงกลับมาที่ลม อย่าปล่อยให้ออกไปกับลมเข้าลมออก ทั้งให้กำหนดรู้อยู่ ๓ ส่วน –ต้นลม กลางลม ปลายลม ดังกล่าวข้างต้น

ทั้งเห็นลม ทั้งรู้ตัว และระวังอย่าให้มีอารมณ์ปรุงแต่งใดๆ เข้ามา ถ้ามี ให้ละทันที อย่าปล่อยจิตให้ระลึกอยู่ในอารมณ์นั้น ให้รู้ลมอย่างเดียว มิฉะนั้นจะเสียสมาธิ เสียกรรมฐาน ตกจากกรรมฐานทันที จิตไม่ยกสู่อารมณ์ของกรรมฐาน

ไม่ส่งส่ายจิตไปรับรู้เสียงดังจากภายนอก ให้รู้ส่วนข้างในของเราส่วนเดียว หากควบคุมให้จิตจดจ่ออยู่ภายในได้ จิตจะรวมกันเป็นองค์ของกรรมฐาน เป็นสมาธิ จะอยู่ที่ใดก็ตามหรือในระหว่างเดินทาง เราก็สามารถใช้วิธีนี้รักษาจิตและพัฒนาจิต ควบคุมจิต จิตก็จะเปลื้องจากอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งความรัก ความชัง จิตจะไม่หดหู่ ซึมเศร้า ไม่ตกเป็นทาสกิเลส คือความชอบใจ ไม่ชอบใจ ให้เข้าใจว่าอารมณ์ทั้งปวงเป็นของปรุงแต่ง อารมณ์ยกขึ้นสู่จิต ให้สุข ให้ทุกข์ กลางๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น เราจึงมักอยู่กับความสุข และความทุกข์

สุขนั้นสั้นนัก แต่ทุกข์นั้นยาวนาน เราจึงมีความทุกข์อยู่เป็นปกติ เป็นธรรมดา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นปกติอยู่เช่นนี้ตลอดกับทุกคน ทุกกาลสมัย ไม่มีใครรักษาความชอบใจอยู่ได้ตลอด จึงมักพบกับสิ่งที่ไม่รัก และพลัดพรากจากสิ่งที่รักเสมอ

สูดลมเข้า เหยียดกายขึ้น ตั้งกายตรง ไม่ลดกายลงมา เป็นวิธีการทรงกายที่ถูกต้อง ถ้าทำเช่นนี้ได้ จิตก็จะเข้มแข็ง สมาธิเข้าได้เร็ว ฝึกให้เราอยู่กับตัวรู้ สิ่งไม่ดีที่เข้ามาในวิถีชีวิต ให้ละออก ให้ตัวระลึกรู้ไปควบคุมตัวผู้รู้ ก็คือตัวจิต ให้มันรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้ ทำงานสิ่งใด ก็ให้รู้จดจ่อในสิ่งนั้น การทำงานจึงเป็นกรรมฐานเหมือนกัน จะเป็นการรู้อยู่หรือเป็นการพิจารณาในสิ่งนั้นก็ได้ทั้งสองอย่าง

ขณะนี้ให้รู้อยู่ในลมเข้าออกยาว ๓ ฐานของลม คือฐานต้นลม กลางลม และปลายลม และเปลื้องอารมณ์ออกจากจิต มิฉะนั้นจะเสียการรู้ใน ๓ ฐานของลม เป็นการเปลื้องอารมณ์โดยใช้ลมเข้าออก เป็นการล้างจิต

๓.กำหนดรู้อยู่ที่จุดกลางลมหรือฐานจิตฐานที่ ๕

เมื่อลมเข้าผ่านไปกระทบที่ทรวงอก ให้เรารู้ที่จุดเดียว เมื่อลมออกผ่านจุดกลางลม ก็ให้รู้ เหมือนกับเราปักหลักรู้อยู่ที่ทรวงอก แล้วลมพัดผ่านหลักนั้น เราก็รู้ทั้งการพัดผ่านเข้าและพัดผ่านออก หรือเหมือนกับการปักไม้ไว้ที่ชายทะเล เมื่อน้ำพัดขึ้นผ่านหลัก หลักก็ไม่ได้เคลื่อนตาม เมื่อน้ำลงผ่านหลัก หลักก็ไม่ได้ลงตาม ตอนนี้เราปักหลักไว้ที่กลางทรวงอก เมื่อหายใจเข้า ลมพัดเข้าไปยาวลึกผ่านทรวงอก เราก็ไม่ได้ไหลไปตามสายลม เมื่อหายใจออก ลมพัดผ่านทรวงอก จิตเราก็ไม่ได้ไหลออก รวมจิตไว้ที่ฐานกลางทรวงอก กำหนดรู้ลมกระทบเข้าและกระทบออกตรงทรวงอก จิตจะ Concentrate หรือรวมสู่ความเป็นหนึ่ง พร้อมเปลื้องอารมณ์ออกจากจิต ทั้งชอบ ไม่ชอบ อันเป็นขยะของจิตและทำให้เราเสียคุณความดีในวิถีธรรมของพระพุทธศาสนา

๔.ละลม กำหนดรู้อยู่ที่กลางทรวงอกอย่างเดียว แล้วแผ่เมตตารวมรู้อยู่ที่กลางทรวงอกอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับลม และบริกรรมว่า “นะโม พุทธะเมตตา” ที่ฐานที่ ๕ กลางทรวงอก ปักจิตลงไปที่กลางทรวงอกและกำหนดรู้ในจิตว่า “นะโม พุทธะเมตตา” ทุกขณะจิต เหมือนกับเราหายใจสั้นๆ อยู่ที่กลางทรวงอก แล้วนึกที่จิตว่า

“อะหัง สุขิโต โหมิ นิททุกโข โหมิ อะเวโร โหมิ อัพพะยาปัชโฌ โหมิ อะนิโฆ โหมิ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ”

อ่านต่อฉบับหน้า

**ส่งคำถามหรือ แสดงความเห็นในเรื่องต่างๆได้ที่ คอลัมน์ธรรมส่องโลก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ อาคารบางกอกโพสต์ 136 ถนน ณ ระนอง แยกสุนทรโกษา คลองเตย กทม. 10110 โทรสาร 02-671-3132

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน