สุทธิพงษ์ วรรณวานิช สมรรถนะแรงแบบคนรุ่นใหม่

เพิ่งได้รับการโปรโมตตำแหน่งเอ็มดี จากบริษัทแม่สหรัฐอเมริกา สุทธิพงษ์ วรรณวานิช กรรมการผู้จัดการบริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย)

โดย.. ปอย / ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

เพิ่งได้รับการโปรโมตตำแหน่งเอ็มดี จากบริษัทแม่สหรัฐอเมริกา สุทธิพงษ์ วรรณวานิช กรรมการผู้จัดการบริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ทำงานหน้าที่นี้ สุทธิพงษ์ บอกว่า ระยะเวลา 43 ปีในประเทศไทย “คนกู๊ดเยียร์” ส่วนใหญ่ในตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทข้ามชาติก็จะมีแต่คนทำงานจากแบรนด์อเมริกัน หรือถ้าเป็นเอเชียก็จะเป็นชาวเกาหลี แต่จากการเริ่มงานในหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เพียง 2 ปี เขาก็ได้ก้าวสู่ตำแหน่งใหม่ที่ท้าทาย

โปรไฟล์คนหนุ่มรุ่นใหม่ จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทสาขาเดิมเพียงแต่เปลี่ยนสถาบันไปที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการตลาดและการขายในองค์กรหลากหลายประเภท เช่น กาแฟสำเร็จรูป น้ำมันเครื่อง สีพ่นรถยนต์ ธุรกิจขนส่งทางอากาศ ฯลฯ

“ปรัชญาการขับเคลื่อนองค์กรเรา คือ Innovation ต้องตอบโจทย์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กับความปลอดภัย และเมื่อมาผสมรวมกับมอตโตของผมง่ายๆ ครับ คือทำให้ดีที่สุด (บอกพร้อมรอยยิ้ม) ก็กลายเป็นความท้าทาย เพราะในวันนี้มียางรถยนต์ค่ายใหม่ๆ วิ่งบนท้องถนนเยอะมาก อุตสาหกรรมในวงการตลาดยางรถยนต์วันนี้การแข่งขันจึงสูงครับ ผมต้องมองเรื่องการแข่งขันตั้งแต่ระยะกลางไปจนระยะยาว

ตลาดในเมืองไทย เราไม่ใช่เบอร์ 1 สาเหตุก็เพราะรถยนต์ในเมืองไทยส่วนใหญ่ใช้รถญี่ปุ่น ยางรถยนต์จึงใช้ของญี่ปุ่นไปด้วย ความท้าทายคือเราติดอยู่ในท็อปทรีทั้งในระดับโลก และในเมืองไทย ความท้าทายในการทำงานวันนี้จึงเป็นโอกาสในการพิสูจน์แบรนด์ให้ตลาดเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นะครับ” สุทธิพงษ์ เริ่มต้นสนทนาพร้อมรอยยิ้ม ลุคเอ็มดีวันนี้ถอดสูทโก้ๆ เปลี่ยนมาสวมเชิ้ตแคชชวลสีฟ้าอ่อน ดูสดใสอีกลุคคนวัยทำงานหนุ่มเทรนดี้

แคมเปญตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมใหม่ ตอบโจทย์ลูกค้าที่ค่ายยางรถยนต์แบรนด์นี้ผุดออกสู่ตลาด สุทธิพงษ์ บอกเล่าถึงการเติบโตของรถยนต์ที่เพิ่งสะดุดไปเล็กน้อยตอนวิกฤตสึนามิที่ญี่ปุ่น แต่ตลาดยางขึ้นอยู่กับรถใหม่และรถเก่าที่วิ่งอยู่แล้วบนท้องถนน การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างน้อย 45 เปอร์เซ็นต์ทุกปีอยู่แล้ว

“คำว่า อินโนเวชัน กลุ่มเป้าหมายลูกค้าจึงเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ด้วยครับ แล้วคนกลุ่มนี้นะครับ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจเลือกใช้อะไรก็จะอยู่บนพื้นฐานข้อมูลจากสื่ออินเทอร์เน็ตที่แค่คลิกก็รู้หมดแล้ว การทำแคมเปญเน้นจับคู่กับพาร์ตเนอร์ เช่น มอเตอร์สปอร์ตจัดแข่งขันการดริฟต์รถที่มีทริกในการสาดโค้งโดยให้ส่วนหน้าหรือท้ายรถยนต์ใกล้กับเป้าหมายมากที่สุดโดยไม่ให้ปะทะหรือชนสิ่งกีดขวาง ก็เป็นการวัดประสิทธิภาพของยางรถยนต์ได้ดีที่สุดเลยนะครับว่าเกาะพื้นถนนดีไหม?!!”

สุทธิพงษ์ รีบบอกออกตัวก่อน ไม่เคยแข่งดริฟต์ และรถยนต์ที่ใช้วันนี้ก็เน้นเสถียรภาพความปลอดภัย และความคล่องตัวไว้ก่อน ที่สำคัญเขาชอบทำงานขณะเดินทางไปด้วย บางครั้งออกไปต่างจังหวัดพบปะลูกค้า ก็จะขนลูกน้องกลุ่มโตไปช่วยกันคิดงานกันบนรถยนต์ซึ่งต้องเลือกฟูลไซส์ด้วยเหตุผลนี้

“ผมตื่นตี 5 ครับ เพราะต้องออกกำลังกายทุกวัน และไปส่งลูกชายลูกสาวไปโรงเรียน เวลาเลิกงานคือหลัง 1 ทุ่มไปแล้ว ผมเป็นคนตัดสินใจรวดเร็วเพราะในการทำงานคิดช้าไม่ได้ ลูกน้องมักพูดเสมอว่าผมเป็นโค้ชที่ดี ไม่เพียง (แค่) บอสที่ดี” สุทธิพงษ์ บอกวงการนี้ก็ต้องพยายามตามให้ทันเทคโนโลยี ให้เป็นสีสันในการทำงาน ซึ่งทั้งหมดก็คือที่มาของค่านิยมแบรนด์ และเพื่อความมั่นใจว่าลูกค้าควรได้รับสิ่งดีที่สุด

5 แกดเจ็ตตอบโจทย์ท้าทาย!!!

บีบี เลือกใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์นี้ เพราะเซฟตีอีเมลที่ส่งภายในบริษัทเซฟข้อมูลที่สุดครับ และแน่นอนไฟต์บังคับคือต้องเปิดโทรศัพท์ 24 ชั่วโมง

แว่นตากันแดด ต้องใช้ทุกครั้งครับที่กู๊ดเยียร์ออกอีเวนต์ แว่นตาโอ๊คเลย์ดีไซน์แฟชั่นแต่สุภาพมากในความรู้สึกของผม

นาฬิกาข้อมือ แบรนด์ดังจากสวิตเซอร์แลนด์ “ไบร์ทลิ่ง” (Breitling) สุทธิพงษ์ เล่าว่าประวัติกำเนิดในช่วงเดียวกับการพัฒนาอากาศยานสวิต และในขณะเดียวกันคงพัฒนาอุปกรณ์คำนวณและจับเวลาสำหรับติดตั้งบนเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง ความเที่ยงตรงจึงเชื่อถือได้ “แต่ผมกลับชอบเรื่องความบึ้กของมันทั้งดีไซน์ และคุณภาพเรือนนี้ติดข้อมือผมมาสิบกว่าปีแล้วนะครับ”

โน้ตบุ๊กเดล รุ่น Latitude E6400 สีดำเรียบ สุทธิพงษ์ บอกไม่ต่างอะไรกับสไตล์ของนาฬิกาที่ใช้ “ผมชอบดีไซน์สีดำที่เวลาทำงานไม่มีอะไรรบกวนสายตา เดลเครื่องนี้น้ำหนักมากสักหน่อยแต่บึ้ก ไม่เคยแฮงก์เลยนะครับ ทั้งที่ไฟล์งานหนักมาก”

หนังสือ : The Fundamentals of Success รักมาก อ่านหลายครั้งหลายรอบเกิน 7-8 ปีขึ้นไป พ็อกเกตบุ๊กเล็กๆ ที่ติดกระเป๋าไปด้วยเสมอๆ ผมได้ทิปส์มากมายจากเล่มนี้ เช่น เคล็ดลับส่งมอบงานที่ดี หัวหน้าจะต้องรู้ศักยภาพลูกน้องว่าเขามีความสามารถไปได้สุดๆ ถึงจุดไหน ผมจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันเขาครับ”