จาก"แม่ผึ้ง"ถึง"น้องเปา"มายาชีวิตราชินีลูกทุ่ง

รู้จักกับ "เปา-เปาวลี พรพิมล" ผู้รับบท"แม่ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในภาพยนตร์ "พุ่งพวง" 

เรื่อง...วิชช์ญะ ยุติ / ภาพ สหมงคลฯ

“พุ่มพวงกลับชาติมาเกิด”

ประโยคนี้ทำเอาเราหลอนปนเหวอ ตามด้วยอาการขนลุกซู่ส์...

ก็ใครละจะไปคิดว่าราชินีลูกทุ่งผู้ล่วงลับจะยังคงความเฮี้ยนไม่เลิกรา

อะแต่เมื่อรู้ที่มาของประโยคเด็ด ว่าแท้จริงเขากำลังพูดถึงนางเอกหนัง “พุ่มพวง” จึงค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

กระนั้น ทริลเลอร์ที่เราจ้องๆๆๆๆ ในเว็บไซต์ยูทูบ อืมมม์ เธอก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันมากกกกก จนอดคิดไม่ได้ รึนี่จะเป็น “พุ่มพวงกลับชาติมาเกิด”

1.

“เปาวลี พรพิมล” หรือ “น้องเปา” ผู้มารับบท “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ในหนัง “พุ่มพวง” เรียกราชินีลูกทุ่งว่า “แม่ผึ้ง” ทุกคำพูดที่อ้างถึง
นั่นเป็นเพียงสรรพนามแทนความเคารพที่น้องเปามีต่อพุ่มพวงในฐานะนักร้องลูกทุ่งรุ่นลูก หาได้มีอะไรเชื่อมโยงกันทางเครือญาติมิตรสหายสักนิดเลย

หากจะใกล้เคียงจริงๆ ระหว่างน้องเปากับแม่ผึ้ง ก็คงจะไม่พ้น “พื้นเพ” ที่ทั้งคู่เป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด อีกอย่างที่มีความละม้าย คือทั้งคู่รักที่จะร้องเพลงลูกทุ่ง อันมีตำแหน่ง “นักร้อง” และ “เงินรางวัล” เป็นเดิมพันสูงสุด

“ไม่เด่น ไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไป” บทเพลงนี้บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการไล่ล่าความฝันของสองคนได้ดี

“พุ่มพวง ดวงจันทร์” เจิดจรัสเป็นราชินีลูกทุ่งสมดั่งใจหมาย เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง หลั่งไหลเข้ามาไม่หวาดไม่ไหว ส่วน “เปาวลี พรพิมล” เพิ่งจะเริ่มต้น เส้นทางสายลูกทุ่งยังอีกยาวไกล และฝั่งฝันแห่งความสำเร็จกำลังรอเธออยู่

“หนูเริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เพลงที่ได้ยินตั้งแต่เด็ก ก็จะเป็นเพลงของแม่ผึ้งทั้งนั้น เพราะที่บ้านชอบเพลงลูกทุ่ง และเป็นแฟนเพลงของแม่ผึ้งด้วย พ่อกับแม่เริ่มส่งหนูเข้าประกวด ตอนอายุ 9 ขวบ งานวัด งานอำเภอ งานประจำปี งานจังหวัด งานข้ามจังหวัดก็ไปมาหมดเลยค่ะ แล้วเวทีใหญ่ๆ ที่เข้ามาประกวดในกรุงเทพฯ ประกวดร้องเพลงตามรายการทีวีก็มีบ้าง อย่างรายการชิงช้าสวรรค์ รายการชุมทางเสียงทอง ล่าสุดรายการคว้าไมค์คว้าแชมป์ ช่องแฟนทีวี ได้แชมป์ออฟเดอะเยียร์”

19 ปีเต็มที่ราชินีลูกทุ่งขวัญใจชาวไทยลาโลกแบบไม่หวนกลับ เวทีคอนเสิร์ตที่เคยคึกคักก็พลันเงียบหงอย จะมีก็แต่บทเพลงฮิตๆ ซึ่งขับขานด้วยน้ำเสียงทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเท่านั้นที่ยังคงตราตรึงมิรู้คลาย

“ตอนนั้นจำได้ว่าเพลงแรกที่ร้องจนจบเพลงคือ เพลงส้มตำ แต่เพลงที่หนูชื่นชอบเป็นพิเศษของแม่ผึ้ง คือเพลง ‘กระแซะเข้ามาสิ’ เป็นเพลงสนุกสนานร้องไปเต้นไป ส่วนเพลงที่จะเอาไปขึ้นร้องเวทีประกวด คือ ‘นักร้องบ้านนอก’ ชอบเนื้อหาของเพลง ซึ้งกินใจดี คล้ายๆ ชีวิตของหนูด้วยมั้งคะ”

2.

“น้องเขาไม่ปรุงแต่ง ปัญหาสำหรับคนที่ผ่านกล้องมาระดับหนึ่ง คือมักจะติดเทคนิค ซึ่งมันทำให้คนเชื่อได้ยาก” เป็นคอมเมนต์เล็กๆ โดยฝ่ายคัดเลือกนักแสดง “ฉัตรชัย พุดซ้อน” ที่มีต่อน้องเปา

จะด้วยเพราะเหตุผลใดก็ตาม แต่บทราชินีลูกทุ่งขวัญใจคนไทย ก็ถูกถ่ายทอดผ่านแววตา สีหน้า และน้ำเสียงของน้องเปาเป็นที่เรียบร้อย

“ครูสอนการแสดงบอกผมว่าต้องเอาเด็กคนนี้เล่นนะ ถ้าผมไม่เอา เขาจะเอาไปเสนอผู้กำกับคนอื่น เพราะว่าเด็กคนนี้มีความสามารถทางการแสดงสูง เด็กต่างจังหวัดไม่เคยมีพื้นฐานการแสดง แต่เล่นได้ดีขนาดนี้ มีครูสอนการแสดงการันตีขนาดนี้ ผมเลยมั่นใจที่จะเลือกน้องเปามารับบทพุ่มพวง” ผู้กำกับผิวเข้ม “บัณฑิต ทองดี” ให้ความเห็น

ขณะที่น้องเปาก็เผยความรู้สึกหลังได้รับเลือกให้มาสวมบทราชินีลูกทุ่ง โดยการติวเข้มของผู้กำกับและทีมงานที่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้นักแสดงมือใหม่ อย่าไปพยายามเลียนแบบเสียงของพุ่มพวง แต่คงเอกลักษณ์และคาแรกเตอร์ฉบับน้องเปาไว้จะดีกว่า

“พอรู้ว่าได้เล่นเป็นแม่ผึ้งก็ดีใจสุดๆ เลยละค่ะ จากนั้นก็ต้องกลับมาเตรียมตัวอย่างหนัก ที่บอกว่าอย่างหนักเพราะหนูยังไม่เคยผ่านการแสดงที่ไหนมาก่อน กดดันเหมือนกันนะ กดดันกับความคาดหวังในการเล่นเป็นแม่ผึ้ง ก็มียกมือไหว้แม่ผึ้งตลอดว่าขอให้ทุกอย่างราบรื่น ควบคู่กับการไปเรียนแอ็กติง เรียนร้องเพลง เรียนเต้น จะเรียน 3 อย่างในวันเดียวกัน โดยจะเรียนร้องก่อน 1 ชั่วโมง แล้วก็เรียนเต้น 2 ชั่วโมง ต่อด้วยเรียนแอ็กติงการแสดง 3 ชั่วโมง”

ว่ากันว่าบางมุมน้องเปานั้นช่างคล้ายกับพุ่มพวงราวจับวาง ยิ่งเฉพาะชุดลายเสือเหลืองดำ ที่เธอสวมใส่ในฉากใหญ่บนเวทีคอนเสิร์ต

“แม่ผึ้งนี่เป็นผู้นำแฟชั่นจริงๆ เลยนะคะ ชุดสมัยนั้นมีทั้งเลกกิง มีทั้งที่คาดผม เป็นโบว์ใหญ่ๆ ปัจจุบันก็ยังฮิตกันอยู่เลย ชุดที่หนูชอบมากที่สุด น่าจะเป็นชุดลายเสือค่ะ เพราะส่วนตัวหนูชอบสีเหลืองอยู่แล้ว ก็เลยถูกใจชุดนี้ ชุดขึ้นคอนเสิร์ตในแต่ละครั้งแต่ละฉากก็อลังการและสวยงามมากๆ ในเรื่องนี้หนูได้ใส่ชุดไม่ต่ำกว่า 20 ชุด เรื่องหน้าผม แต่ละชุดการแต่งหน้าทำผมก็จะเป็นอีกแบบ ผมสั้นหนูก็ชอบนะและคิดว่าสักวันหนูคงจะตัดทรงนี้แหละ”

3.

ยามที่สลัดมาดราชินีลูกทุ่งในหนังทิ้งไป ตัวจริงของน้องเปาจะเหลือไว้ความสดใสน่ารักและเป็นกันเอง “เสียงเหน่อ” แบบคนสุพรรณ กลายเป็นเสน่ห์ร้ายที่ใครๆ ก็ต้องหลงรักเธอ พูดไปเหน่อไปเพลินใจเชียวแหละ

“อยู่ที่บ้านหนูก็จะพูดอย่างนี้ ไม่รู้สึกว่าเหน่อนะและไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยค่ะเพราะคนอื่นๆ ก็พูดเหมือนกับหนูนี่ละ (หัวเราะ) แต่พอมากรุงเทพฯ เขาบอกว่าหนูพูดเหน่อ หนูก็งงเหน่อตรงไหน (หัวเราะ) หนูก็พูดปกติของหนู คนกรุงเทพฯ ต่างหากที่ไม่ค่อยคุ้น”

สาววัย 19 คนนี้มีอะไรน่าสนใจมากกว่าการได้รับบทเป็นราชินีลูกทุ่ง เธอชอบ “พระเครื่อง” พอๆ กับการร้องเพลงลูกทุ่ง พระเครื่องคือของสะสม แต่เธอก็รีบออกตัวว่า ไม่ได้เข้าขั้นเซียนพระ

“ยังดูไม่เป็นหรอกค่ะ เพราะอย่างนั้นมันต้องศึกษาจริงจัง หนูแค่รู้สึกชอบและเก็บสะสมมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย ซึ่งมันเริ่มมาจากได้เป็นของขวัญก่อน จากผู้ใหญ่ที่เอ็นดู หรือเวลาไปทำบุญพระท่านก็ให้มา ไปบูชามาเองก็มีบ้าง ส่วนใหญ่จะเก็บไว้บนหิ้งที่บ้าน รวมๆ ก็เยอะอยู่นะ ที่พกติดตัวไม่มีค่ะ เพราะมันไม่สะดวก แต่ก่อนออกจากบ้านก็ยกมือไหว้ขอพรทุกครั้ง เพื่อให้พระท่านคุ้มครอง หลวงพ่อดำ วัดลาดสิงห์ อ.สามชุก หลวงปู่ทวด แม่ผึ้งก็ไหว้ ไหว้หมดเลย”

นอกจากจะมีพระประจำใจ สาวสุพรรณเสียงหวานยังเป็นคนใฝ่เรียน ตอนนี้เธอก็กำลังมุ่งมั่นกับการเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน ชั้นปีที่ 2 เธอต้องจัดตารางเรียนควบคู่ไปกับตารางงาน โดยวางแผนว่าจะนำความรู้ที่เรียนมาไปต่อยอดกับงานแสดงและการร้องเพลงที่เธอรัก

“สำหรับหนูนะ หนูคิดว่าโอกาสที่ดีไม่ได้มีมาง่ายๆ ถ้ามีมาก็ต้องรีบคว้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหนูมีโอกาสหนูก็ต้องเรียน หรือเรื่องาน ถ้ามีเข้ามาก็ต้องทำให้เต็มความสามารถ เพราะหนูเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีมาอีกมั้ย อย่างแม่ผึ้งนี่หนูประทับใจในความเป็นอัจฉริยะของแม่ผึ้งจริงๆ นะ เรียนแค่ชั้น ป.2 อ่านหนังสือไม่ค่อยออกเขียนไม่ได้ แต่มุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จและโด่งดังมีชื่อเสียง ซึ่งหนูเองก็ใช้แม่ผึ้งเป็นแรงบันดาลใจในการตามหาฝัน”