posttoday

ทฤษฎีกาแฟร้อน Coffee Theory ตอนที่ 4 การแก้ปัญหาเชิงซ้อน

13 ธันวาคม 2564

โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการ ศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน

การดำเนินไปของโลกทุกวันนี้คือการแก้ปัญหา ปัญหาใดๆ มันไม่เคยมาเดี่ยว แต่มันรุมกันเข้ามารอบด้าน อย่างเช่นการระบาดของโควิด 19 ปัญหามันใหญ่และซับซ้อนมาก ไล่ตั้งแต่การทำความเข้าใจว่าต้นตอของมันอยู่ที่ไหน มันแพร่กระจายไปได้อย่างไร ในการรักษา เราต้องใช้วัคซีน แล้วจะผลิตด้วยกระบวนการใด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันจะต่างกันหรือไม่ แล้วผลข้างเคียงจะเป็นอย่างไรไม่ใช่แค่นั้น เราต้องฉีดกี่เข็ม ห่างกันเท่าไหร่ ใครก่อน ฉีดไขว้ได้ไหม ผลการป้องกันและอาการข้างเคียงจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญไวรัสมันกลายพันธุ์ได้ แล้ววัคซีนที่มีอยู่จะได้ผลหรือไม่ หรือต้องนับหนึ่งกันใหม่ อีกทั้งงบประมาณที่ต้องใช้อย่างมหาศาล ทั้งการจัดหาวัคซีนและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ แล้วระบบสาธารณสุขมีความพร้อมแค่ไหน ทั้งด้านกำลังคนและเครื่องมืออื่นๆ อีกมากมาย นี่ยังไม่นับรวมถึงผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการปรับตัวอย่างรุนแรง รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานก็เปลี่ยนไป

จะเห็นได้ว่าปัญหาโควิด 19 มันซับซ้อน เพราะมันเป็นปัญหาเชิงซ้อน มันเป็นปัญหาทับซ้อนปัญหา มันเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต เช่นเดียวกับปัญหาทั่วไปที่เราเจอทุกวันนี้ แล้วจะรับมือกับปัญหาเชิงซ้อนในลักษณะนี้ได้อย่างไร

ทฤษฎีกาแฟร้อน Coffee Theory ตอนที่ 4 การแก้ปัญหาเชิงซ้อน

ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าปัญหาเชิงซ้อนมันมีธรรมชาติเป็นอย่างไร จาก ทฤษฎีกาแฟร้อน หรือ Coffee Theory ที่อธิบายถึงธรรมชาติของแนวคิดเชิงระบบที่ว่าสรรพสิ่งมีคุณสมบัติสำคัญ 6 ประการคือ

1. ความเป็นหนึ่งเดียว

2. องค์ประกอบ

3. การเชื่อมโยง

4. การผุดกำเนิด

5. ศักยภาพที่แตกต่าง

6. คุณค่าและความหมาย

แล้วทฤษฎีกาแฟร้อน จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหา รวมทั้งการหาทางออกต่อปัญหานั้นๆ ได้อย่างไร

ขอเริ่มที่เอสเพรสโซ่ จะเห็นว่าเอสเพรสโซ่มีความเป็นหนึ่งหน่วย หนึ่งเดียวที่มีองค์ประกอบคือ ผงกาแฟและน้ำร้อน (น้ำตาลเป็นทางเลือก) เมื่อนำทั้งสองมาชง มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ในขณะนั้นเอง มันได้ผุดกำเนิดขึ้นเป็นภาวะองค์รวมใหม่ที่มีคุณสมบัติและศักยภาพที่แตกต่างจากองค์ประกอบเดิมเมื่ออยู่อย่างแยกส่วน นั่นคือความหอมและรสชาติที่เข้มข้นที่นำไปสู่คุณค่าและความหมาย นั่นคือ ราคา

แต่เมื่อนำเอสเพรสโซ่ที่ได้มาเติมด้วยฟองนมและนมสด เราได้สิ่งใหม่เรียกว่าคาปูชิโน่ และเมื่อนำคาปูชิโน่มาเติมด้วยช็อกโกแลต เราเปลี่ยนชื่อมันเป็นมอคค่า

นั่นหมายความว่า ในคาปูชิโน่ มันมีเอสเพรสโซ่ฝังอยู่ข้างใน และตัวมันเองก็ฝังอยู่ในมอคค่าด้วย

จะเห็นได้ว่า กาแฟแต่ละชนิดคือระบบ เพราะเข้าลักษณะสำคัญทั้ง 6 ประการตามทฤษฎีกาแฟร้อน แต่ที่สำคัญคือ มันเป็นระบบซ้อนระบบ กล่าวคือ ระบบเอสเพรสโซ่ซ้อนอยู่ในระบบที่ใหญ่กว่าคือระบบคาปูชิโน่ และระบบคาปูชิโน่ก็ซ้อนอยู่ในระบบที่ใหญ่กว่าขึ้นไปอีก นั่นคือ ระบบมอคค่า

มันคือระบบซ้อนระบบ องค์รวมซ้อนองค์รวมอย่างเป็นลำดับชั้น และเนื่องจากกาแฟร้อนแต่ละชนิดมีศักยภาพต่างกัน (รสชาติและความหอมที่ต่างกัน) รวมทั้งคุณค่าและราคาก็ต่างกันด้วย นั่นคือ มันเป็นศักยภาพซ้อนศักยภาพ มันเป็นคุณค่าที่ซ้อนอยู่ในคุณค่าที่สูงขึ้นอย่างเป็นลำดับชั้นตามภาวะองค์รวมที่สูงขึ้น

เมื่อพิจารณาระบบที่ทับซ้อนกันตามแนวคิดทฤษฎีกาแฟร้อนนี้ เวลาจะปรุงกาแฟแต่ละชนิดให้อร่อย ให้มีคุณค่าและราคาที่สอดคล้อง เราต้องพิจารณาทั้งองค์ประกอบและการชง (การเชื่อมโยง) ไล่เรียงย้อนลงไปอย่างเป็นลำดับชั้น กล่าวคือ หากต้องการปรุงมอคค่า เราต้องเตรียมกาแฟร้อนคาปูชิโน่และผงช็อกโกแลต และนำทั้งสองมาชงเข้าด้วยกัน เพราะทั้งสองคือองค์ประกอบสำคัญของความเป็นมอคค่า คุณภาพของมอคค่าจึงขึ้นกับคุณภาพของกาแฟร้อนคาปูชิโน่และผงช็อกโกแลต

แล้วคุณภาพของกาแฟร้อนคาปูชิโน่ขึ้นกับอะไร มันก็ขึ้นกับคุณภาพของกาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ ฟองนม และนมสด เพราะทั้งสามคือองค์ประกอบสำคัญของความเป็นคาปูชิโน่ รวมทั้งขั้นตอนการชงเข้าด้วยกัน

ในทำนองเดียวกัน คุณภาพของกาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ ก็ขึ้นกับคุณภาพของผงกาแฟเอสเพรสโซ่และน้ำร้อน เพราะมันคือองค์ประกอบสำคัญของความเป็นเอสเพรสโซ่ รวมทั้งขั้นตอนการชงเข้าด้วยกัน

จะเห็นได้ว่า ทั้งมอคค่า คาปูชิโน่ เอสเพรสโซ่ต่างก็คือระบบ มันเป็นระบบที่ทับซ้อนกัน มันจึงเป็นระบบซ้อนระบบ มันเป็นองค์รวมซ้อนองค์รวม ศักยภาพซ้อนศักยภาพ ต่างก็เป็นหนึ่งเดียวที่ซ้อนอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือ หากจะปรุงมอคค่าให้อร่อย มีคุณค่า เราต้องพิจารณาย้อนหลัง ไล่เรียงลงไปทีละขั้นตอนอย่างเป็นลำดับชั้น ทีละชั้น

อุปมาดังกล่าว นำมาซึ่งความเข้าใจที่ว่า ปัญหาใดๆ มันก็มีธรรมชาติเป็นเช่นเดียวกับความเป็นกาแฟร้อนที่ต่างชนิดกันที่ทับซ้อนกันอยู่ภายใน ปัญหาใดๆ มันจึงเป็นปัญหาเชิงซ้อน มันเป็นปัญหาซ้อนปัญหา วิกฤตซ้อนวิกฤต มันเป็นปัญหาที่หลากหลายที่ทับซ้อนกันอย่างสลับซับซ้อนอย่างเป็นลำดับชั้นยิ่งมีลำดับชั้นสูงขึ้น ความซับซ้อนก็มากขึ้น ความท้าทายก็ยิ่งสูงขึ้น

ในการแก้ปัญหาใดๆ เราจึงต้องพิจารณาปัญหานั้นๆ อย่างเป็นระบบเชิงซ้อน โดยพิจารณาไล่เรียงย้อนลงไปทีละขั้นอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อดูว่าอะไรคือองค์ประกอบหลัก และในแต่ละองค์ประกอบหลักนั้น มันประกอบด้วยองค์ประกอบรองๆ อะไรบ้าง และในแต่ละองค์ประกอบรองนั้น มันมีองค์ประกอบย่อยๆ อะไรอีก และดูว่าทั้งหมดนี้มันเชื่อมโยง หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

มันเปรียบได้กับการเอาปัญหาหลักเป็นตัวตั้ง แล้วแตกประเด็นที่กำลังพิจารณานั้นออกเป็นประเด็นรองๆ และจากประเด็นรองๆ แต่ละประเด็นนั้น ก็พิจารณาต่อไปอีกถึงประเด็นย่อยๆ จนถึงระดับที่อยู่ในขอบเขตที่เรามั่นใจที่พอจะสามารถจัดการได้ และดูว่าแต่ละประเด็นในแต่ละระดับชั้นดังกล่าว มันเชื่อมโยง สัมพันธ์กันอย่างไร และด้วยการเชื่อมโยงที่หลากหลายขององค์ประกอบที่แตกต่าง จะนำมาซึ่งทางออกของปัญหาอย่างมีทางเลือกและสร้างสรรค์

ทฤษฎีกาแฟร้อนจึงช่วยให้เข้าใจถึงธรรมชาติของความซับซ้อนของปัญหา และเป็นแนวทางเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาระบบเชิงซ้อนได้อย่างมั่นใจ เป็นรูปธรรม เพื่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

ทฤษฎีกาแฟร้อนจึงเป็นศาสตร์องค์รวมแห่งความสำเร็จ