posttoday

เมื่อโลกคือผู้หญิงครึ่งหนึ่ง สุวิตา สิงห์สัจจเทศ

17 ตุลาคม 2559

เรื่องของผู้หญิง คือ เรื่องของคนครึ่งหนึ่งบนโลกใบนี้ บทความนี้มิใช่จะสะท้อนถึงครึ่งหนึ่งของสรรพสิ่ง

โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

เรื่องของผู้หญิง คือ เรื่องของคนครึ่งหนึ่งบนโลกใบนี้ บทความนี้มิใช่จะสะท้อนถึงครึ่งหนึ่งของสรรพสิ่ง หากกำลังจะสะท้อนถึง “ผู้หญิง” คนหนึ่ง ถึงแง่มุมความเป็นหญิงผ่านธุรกิจและครอบครัวของเธอ “สุวิตา สิงห์สัจจเทพ” ผู้บริหารแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิง ลิน อราวด์ (Lyn Around) เธอคือใครในมุมของนักบริหาร ภรรยาและแม่ของลูก แล้วจะพบว่า “ความเป็นผู้หญิง” สร้างและเติมเต็มโลกใบนี้อย่างไร

สุวิตา นามสกุลเดิม จันทร์ศรีชวาลา เริ่มเข้ามาดูแลบริหารงานในยัสปาลกรุ๊ป เมื่อสมรสกับยศเทพ สิงห์สัจจเทศ ตระกูลใหญ่เจ้าของบริษัทแฟชั่นรีเทลแถวหน้าของไทยอย่างยัสปาล จากนั้นจึงเริ่มเข้ามาดูแลสินค้าในไลน์แอกเซสซอรี่ของเครือ ทั้งแบรนด์ดังอย่าง CPS CHAPS, CC DOUBLE O และแบรนด์รองเท้ากระเป๋าอันดับต้นๆ ของไทย ”Lyn” รวมทั้งแบรนด์น้องใหม่อย่าง Quinn ด้วย

ในมุมของนักธุรกิจ เธอเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lyn Around ในปี 2554 หรือเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา การทำงานของสุวิตาเน้นความทุ่มเทและดำเนินการด้วยตนเองในเกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคุยกับดีไซเนอร์ การผลิต เมอแชนไดซิ่งโอเปอเรชั่น การดูแลฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด เรียกได้ว่าดูด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ ปัจจุบันลิน อราวด์ขยายสาขาทั่วประเทศไปแล้วกว่า 30 แห่ง ยอดขายปีที่แล้วคิดเป็นรายได้กว่า 800 ล้านบาท อัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5-6%

ในมุมของความรัก เธอพบรักกับสามี ซึ่งจะกล่าวว่าเป็นรักแรกก็ไม่น่าจะผิด สุวิตาจบประถมศึกษาที่ ร.ร.วัฒนาวิทยาลัย ก่อนจะย้ายไปเรียนไฮสกูลที่ St.Leonards Mayfield School, UK ที่ไฮสกูลนี้เองเธอได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องของสามี ช่วงหยุดฤดูร้อนกลับเมืองไทยจึงได้เจอกับพี่ชายของเพื่อนสาว แม้ช่วงแรกจะไม่ได้คบหากันจริงจัง หากในเวลาต่อมาเป็นฝ่ายชายเองที่มุ่งมั่นและบอกกับสุวิตาว่า “คือเธอนี่แหละ”

“เพราะความมุ่งมั่นของเขา ทำให้เราแน่ใจว่า อาจเป็นเขานี่ก็ได้” สุวิตาเล่าด้วยรอยยิ้ม

ทุกครั้งที่ปิดภาคฤดูร้อน กลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย ก็เป็นทุกครั้งกับที่ได้มีโอกาสสานความสัมพันธ์ จากนั้นก็คบหากันมาโดยตลอด จากไม่จริงจังก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อสุวิตาเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ 1 ปีพอดี สาวสวยจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นศึกษาต่อปริญญาโท Master of Science in Financial Analysis ที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก

“ตอนเรียนจบใหม่ๆ ทั้งที่สนใจธุรกิจจิวเวลรี่มาก ได้ลองไปศึกษาเกี่ยวกับจิวเวลรี่อยู่นาน คิดว่าอยากทำเครื่องประดับ กำลังจะเรียนดูพลอยอยู่ทีเดียว ก็บังเอิญว่าแต่งงานเสียก่อน”

เมื่อแต่งงานกับหนึ่งในทายาทของยัสปาล ก็ไม่แปลกที่ความสนใจของสุวิตาจะหันเหมาที่ธุรกิจแฟชั่น โดยขณะนั้นสามีรับผิดชอบดูแลบิซิเนสยูนิตของตระกูลด้านแฟชั่น ทำรองเท้า Lyn Shoes ซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก สะใภ้คนสวยต่อยอดเป็นสินค้าเครื่องหนังและช่วยดูในแอกเซสซอรี่อื่นๆ เช่น รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา และแว่นตา รวมทั้ง Lyn Around ที่ทำเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงในอีกหลายปีต่อมา

“เป็นช่วงสนุกของชีวิต ที่ทำงานด้วย เรียนปริญญาโทด้วย และทำธุรกิจด้วย ช่วงนั้นเราทั้งคู่เดินทางรอบโลก ดูตลาดเครื่องหนังและทำเครื่องหนังออกมาให้ดูดีและโดดเด่นที่สุด” สุวิตาเล่า

ในมุมของความเป็นแม่ สุวิตาแต่งงานแล้วมีลูกชายคนแรก “อาร์วี” เมื่ออายุ 27 ปี หากก็เป็นท้องแรกที่ยังมีพลัง และเดินทางไม่ (ยอม) หยุดอยู่นั่นเอง เมื่อลูกคนแรกอายุ 1 ขวบครึ่งก็เป็นตอนที่สุวิตาจะเปิดธุรกิจใหม่เสื้อผ้าแบรนด์แรกของเธอ Lyn Around พุ่งเป้าที่กลุ่มไฮเอนด์ เสื้อผ้าเน้นในรายละเอียดความเป็นผู้หญิง บอกเล่าความเป็นผู้หญิง มิกซ์แอนด์แมตช์สำหรับผู้หญิงที่ชอบหยิบจับปรับแต่ง สวยน่ารักและมีสไตล์

“ก็เพราะเราจะทำเสื้อผู้หญิง ก็เป็นตอนเดียวกับที่ต้องถามตัวเองว่า เราเป็นคนแบบไหน เราชอบอะไร เราชอบรายละเอียด ชอบคุยชอบเขียน ชอบเล่าบอกในสิ่งที่เป็นเรา ชอบครีเอทีฟ ชอบวาดฝัน ไม่เฉพาะแค่เรื่องแต่งตัว แต่กับทุกเรื่อง” สุวิตาเล่า

ชอบทุกอย่างที่มีดีเทลหรือรายละเอียด สุวิตานำสิ่งที่คิดมาใส่ไว้ในลิน อราวด์ ลุคคือผู้หญิง เพราะผู้หญิงจะเป็นผู้สวมใส่ แบรนดิ้งมาจากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียด ทั้งจากบุคลิกของตัวร้านเองด้วย สุวิตาเล่าว่า ภาพของแบรนด์มีความชัดเจนมาก โดยเมื่อหัวใจของแบรนด์ชัด ก็วาดกรอบได้ง่าย โดยรวมแล้วเธออยากสร้างความแตกต่าง ทุกคนเห็นแล้วอยากให้รู้จักและจำ ลิน อราวด์ ได้ทันที

เมื่อโลกคือผู้หญิงครึ่งหนึ่ง สุวิตา สิงห์สัจจเทศ

 

“เด็กผู้หญิงฝันเยอะนะคะ เด็กผู้หญิงมีความฝันเสมอ”

เมื่อพูดถึงเด็กผู้หญิง ลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงชื่อน้องเอวา ในมุมของผู้หญิงทำงานเลี้ยงลูก สุวิตาบอกว่า ผู้หญิงที่เป็นแม่และทำงานทุกคน แบ่งเวลายังไงก็ไม่พอ เธอก็เช่นเดียวกัน สำหรับเธอแล้วใช้วิธีว่าหากช่วงไหนเบรกได้ก็เบรก รวมทั้งวางแผนการบริหารเวลาล่วงหน้า ช่วงเวลาใดดูแลลูกดูแลครอบครัว ช่วงเวลาใดเป็นช่วงเวลาทำงาน

“เวลาของเรายังมีไม่พอสำหรับทำงาน มีไม่พอสำหรับที่จะต้องไปดูในแต่ละจุดในแต่ละรายละเอียด ดีไซน์ยังไงให้สวย ทำยังไงเพิ่มอะไรตรงไหน มีซัมธิงตลอดเวลา มีอะไรที่ต้องคิดต้องทำต่อเนื่องตลอดเวลา แต่ถ้าเราวางแผนล่วงหน้า จะทำได้นะ แต่เราต้องเป๊ะ ถึงเวลาต้องทำตามแผน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นรูทีนทั้งลูกและงาน”

เวลาทำงานคือเวลาทำงาน แต่ก็ทำงานที่บ้านและประชุมที่บ้านบ่อยครั้ง บ้านกับที่ทำงานระยะทางไม่ห่างกันมาก เวลาใดที่สุวิตามาทำงานที่ออฟฟิศ เธอจะใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า ใครจะเข้าพบหรือเข้ามาคุย ต้องลุยเข้ามาเลย เพราะถ้าออกจากที่ทำงานแล้วจะแล้วกัน ในแต่ละสัปดาห์จะปลีกเวลาบางส่วนเพื่อไปรับส่งลูกที่โรงเรียน พาลูกไปว่ายน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน

“ตอนเป็นเด็กเป็นนักกีฬาว่ายน้ำค่ะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลาว่ายน้ำเท่าไหร่ แต่จัดการให้ตัวเองพาลูกไปว่ายน้ำอาทิตย์ละครั้ง” สุวิตาเล่า

สุวิตาเล่าว่า เด็กมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็ใช่เหมือนกันที่ต้องมีพี่เลี้ยงที่ดี แต่บางอย่างบางเรื่องก็คือแม่เท่านั้น สำหรับสุวิตาแล้วคนเป็นแม่ต้องนอนกับลูก คุยกับลูก พูดกับลูก ดูแลเลี้ยงดูสั่งสอนลูก ตระกูลสิงห์สัจจเทศเป็นตระกูลใหญ่ ซึ่งดีตรงนี้เพราะเราช่วยกันดูแลเด็กๆ ของเรา ทุกเย็นที่สนามหญ้าหน้าตึก เด็กทุกคนในบ้านจะออกมาเล่นกัน ลูกๆ เล่นกันที่กลางสนาม ส่วนผู้ใหญ่ก็ใช้เวลาร่วมกัน

ตอนนี้อาร์วี 7 ขวบ ส่วนเอวา 3 ขวบ คุณแม่วางใจได้เปลาะหนึ่งแต่ก็ยังดูแลใกล้ชิด เป็นคุณแม่ที่มีความสุข เพราะใช้สูตรเดียวกับคุณพ่อหรือคุณตาของเด็ก คือถ้ามีเวลาต้องพาลูกเที่ยว ล่าสุดเพิ่งพาน้องอาร์วีและน้องเอวาและคุณพ่อของน้องๆ ไปเที่ยวอังกฤษ ทุกเวลานาทีคือการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมีความหมายที่สุดกับตัวคุณแม่เอง อนาคตของลูกไม่ใช่เรื่องเรียนเก่งเรียนไม่เก่ง ไม่ใช่เรื่องทำงานหรือไม่ทำงาน ไม่ใช่อื่นใดมากไปกว่าลูกทั้งสอง จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างเต็มศักยภาพของตน

“ชีวิตนี้ถ้าจะทำอะไรก็เพราะอยากทำ ทำธุรกิจก็เพราะอยากทำธุรกิจ ทำเสื้อผ้าก็เพราะอยากทำเสื้อผ้า มีความรักก็แต่งงาน มีลูกก็เพราะอยากมีลูก แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราประสบความสำเร็จ แต่ถึงจะเฟลหรือล้มเหลว เราก็มีความสุขได้ถ้าใจเรายอมรับ หรือมันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ” สุวิตาเล่า