คิดถึง...อ้อมกอดธรรมชาติ เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์
เพราะคิดถึงจึงไปกอด Living with Nature Touch สัมผัสศิลปะผ่านธรรมชาติ ผ่านความรู้สึกที่...คิดถึง @เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เรื่องและภาพ : วารุณี มณีคำ / ททท.
ทริปวันหยุดยาว โพสต์ทูเดย์ พาเที่ยว ประจวบคีรีขันธ์...เมืองทองเนื้อเก้า มะพร้าว สับปะรด สวยสด หาด เขา ถ้ำ งามล้ำน้ำใจ... จังหวัดสุดท้ายของภาคกลาง ปราการสู่แดนทักษิณ กับความยาวที่มากถึง 212 กิโลเมตร พร้อมอันซีนอินไทยแลนด์ที่ต้องไปเห็นสักครั้งก่อนตาย และ “เกาะทะลุ” คือจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้
กว่าจะได้รู้ก็เกือบสายและแทบเสียดายไปตลอดชีวิต ที่คิดเคยเอาเองว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นเพียงแค่ทางผ่าน เพื่อมุ่งสู่ชุมพรและลงไปยังภาคใต้ของประเทศไทย วันนี้ต้องเปลี่ยนความคิดไปโดยสิ้นเชิง เพราะทริป “Living with Nature Touch สัมผัสศิลปะผ่านธรรมชาติ ผ่านความรู้สึกที่...คิดถึง“ ซึ่งเป็น 1ใน 5 เส้นทางท่องเที่ยวสวยงามภาคกลางที่พัฒนาและสร้างสรรค์เป็นกิจกรรม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้คนไทยได้หายคิดถึงธรรมชาติ พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยวในประเทศตามโครงการ คิดถึง...อ้อมกอดธรรมชาติ (Back to Nature) ควบคู่การท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ได้รู้จักและสัมผัสกับความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในการท่องเที่ยว หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการออกไปท่องเที่ยว
ก่อนฟ้าสางราว 05.30 น. เวลานัดหมาย ณ ททท.สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรี แม้จะมีสายฝนโปรยแต่ก็ไม่สามารถทำให้ความโหยหาแลความคิดถึงธรรมชาติของนักเดินทางกลุ่มนี้ลดลงไปเลย 06.00 น. เมื่อทุกคนรวมตัวกันพร้อมหน้าก็ได้เวลาที่รถตู้ปรับอากาศ VIP ทั้ง 4 คัน จะล้อหมุนมุ่งหน้าสู่ปลายทาง
ด้วยช่วงเวลาของวันหยุดยาวที่หลายคนเดินทางกลับบ้านสู่อ้อมกอดครอบครัว หรือบางคนก็ออกไปหาแรงบันดาลใจผ่านอ้อมกอดธรรมชาติ ตลอดระยะทางกว่า 400 กิโลเมตรที่รถวิ่งผ่าน เราจึงมองเห็นเพื่อนร่วมเดินทางที่แน่นขนัดในบางครั้ง และประปรายในบางช่วง ราว 5-6 ชั่วโมง เราก็ถึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ “ร้านหนูโภชนา” ร้านอาหารซีฟู้ดรสจัดจ้านที่คนบ้านกรูดนิยมมากที่สุด หนึ่งในร้านยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวมักแวะเวียนมาฝากท้อง เดิมทีร้านนี้อยู่ติดทะเลริมหาดบ้านกรูด แต่ปัจจุบันย้ายมาอยู่ติดคลองใกล้กับสถานีรถไฟบ้านกรูด เมนูที่มาแล้วห้ามพลาด ต้องแกงส้มปูหน่อไม้ดอง พริกแกงส้มใต้เข้มข้นมาพร้อมกับปูเนื้อหวานๆ ผสานความอร่อยของหน่อไม้ดองเข้าไป ใครไม่ลองถือว่าพลาดมาก ต่อด้วยเมนูแก้เผ็ดสารพัด ไม่ว่าจะกุ้งอบเกลือ หมึกทอดกระเทียม ใบเหลียงผัดไข่ หลนปูเสิร์ฟพร้อมผักสด กุ้งอบวุ้นเส้น และปลากะพงทอดน้ำปลาที่มาคู่กับยำมะม่วงรสชาติเด็ดดวงจริงๆ
จากนั้นเราออกเดินทางกันต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงยังท่าเรือเกาะทะลุ ที่นี่มีที่จอดรถรองรับนักท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่ง ทันทีที่เท้าก้าวลงจากรถ สายตาพลันมองหาทะเลที่คิดถึง อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านก่อนร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่บ่งบอกถึงความสุขในหัวใจที่เอ่อล้นออกมา นั่งพักสักครู่ก็ขนสัมภาระขึ้นสปีดโบ๊ต เดินทางท่ามกลางสายน้ำ แสงแดด และสายลม อีกเพียง 15 นาทีก็ถึงที่หมายกันแล้ว
นั่นไง “เกาะทะลุ” อันซีนอินไทยแลนด์ตรงปลายแหลมของเกาะที่มีหน้าผาชันสีอิฐ ปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นไม้ ปรากฏรูโหว่ขนาดใหญ่จนมองเห็นวิวทะลุไปอีกด้านหนึ่งอันเป็นที่มาของชื่อเกาะ มีชายหาดที่สวยงาม เม็ดทรายสีขาวเนื้อละเอียด และน้ำทะเลใสสีสวยเหมือนในสารคดี ทุกคนต่างก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพไว้เพื่อเป็นหนึ่งในความทรงจำ และหากโชคเข้าข้าง บางครั้งเราอาจได้เก็บภาพฉลามวาฬที่แวะเวียนมาทักทายนักท่องเที่ยวก็เป็นได้
เมื่อได้ภาพสวยๆ จนเป็นที่พอใจ เรือก็เข้าเทียบท่า ทริปนี้เราไปพักกันที่ “เกาะทะลุ ไอส์แลนด์ รีสอร์ท” รีสอร์ทแห่งเดียวบนเกาะทะลุ และวิวบนเกาะนี้นี่แหละที่ทำให้เราต้องไฮไลท์ว่า “ดินแดนสวรรค์สุดอันซีนฝั่งอ่าวไทย” เพราะความสวยที่สะกดทุกสายตา ทำให้ได้รู้ว่าเราพลาดอะไรไปแล้วก่อนหน้านี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าลบล้างความคิดที่ว่าประจวบฯ เป็นแค่ทางผ่านไปหมดสิ้น ต่อไปแม้จะมี “ชะอำ” “หัวหิน” “ปราณบุรี” เป็นด่านดักความคิดถึงทะเล ก็รับรองว่าเราจะอดทนเดินทางต่ออีกนิดเพื่อมาพิชิตเกาะทะลุอีกครั้ง
ได้เวลาสำหรับกิจกรรมการรังสรรค์ผลงานร่วมกันผ่าน Mandala Art จากผู้ร่วมทริป Living with Nature Touch สัมผัสศิลปะผ่านธรรมชาติ ผ่านความรู้สึกที่...คิดถึง โดยคุณปัท-ปรัชญพร วรนันท์ นักศิลปะบำบัดจาก Studio Persona ที่อธิบายว่าเราทุกคนมีความเครียดสะสมทั้งจากการทำงานและการใช้ชีวิต การได้ออกมาข้างนอก การได้เปลี่ยนสถานที่ การได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัว คือการสร้างโอกาสให้เราให้เวลากับตัวเอง โฟกัสกับตัวเอง ได้ใช้เซนส์ตัวเองมากขึ้น Mandala Art คือศิลปะที่สร้างสมาธิ ผ่านการสัมผัสเล็กๆ ที่ไม่จำกัดรูปแบบ โดยเริ่มต้นจากการหาวัสดุรอบตัวหาจากธรรมชาติแล้วนำมาจัดวางร่วมกันตามแต่จินตนาการ ภายใต้วงกลมเดียวกันทำให้เราได้เห็นความไม่เหมือนกันที่อยู่ใกล้กัน อยู่รวมกัน และการได้ใช้เวลาตลอดจนการได้ใช้พื้นที่ร่วมกัน
หลังจากได้ดึงสติจากกิจกรรมศิลปะบำบัดแล้ว กิจกรรมถัดไปคือการล่องแพตกหมึกเคล้าเสียงเพราะๆ ของสองลุงป้าอารมณ์ดีที่พร้อมขับกล่อมบทเพลง ถ่ายทอดความสุขผ่านเสียงดนตรีอะคูสติก มอบความครื้นเครง เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยมุขน่ารักๆ พร้อมการชมแสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์ตกที่สวยจับใจ
ปิดท้ายด้วยมื้ออาหารซีฟู้ดในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ที่ทำให้นักเดินทางต่างอิ่มหนำสำราญไปตามกัน และก่อนนอนหากได้แหงนหน้ามองท้องฟ้า เราจะพบว่าใต้ฟ้าสีครามยามค่ำคืน เหล่าดวงดาวต่างพร่างพราวบนนภาและทำหน้าที่ของมัน เพียงรอคนที่คิดถึงสิ่งนั้นได้ไปเยือน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังรับประทานอาหารเช้ามีกิจกรรมหลากหลายให้ได้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปกับวิว 360 องศา พายเรือคายัค แล่นเรือใบ ดำน้ำตื้น ปลูกปะการัง ดูเต่าที่ศูนย์อนุบาลเต่าทะเลเกาะทะลุซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ด้วยความอุดมสมบูรณ์และเป็นที่อยู่ของสัตว์สำคัญหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเต่ากระ ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของเต่ากระ ทั้งการวางไข่ การเจริญเติบโต รวมไปถึงการอนุบาลเพื่อการอนุรักษ์และปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ
การได้ท่องเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้ชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ ยังปลูกฝังจิตสำนึกรักธรรมชาติขึ้นในใจ เพราะเมื่อเราใช้ประโยชน์จากมัน เราก็ควรต่อเติมและเสริมสร้างสิ่งใหม่ ให้สิ่งดีๆ เหล่านี้คงอยู่ไว้ เพื่อรักษาความงดงามของท้องทะเลไทยเอาไว้ตราบนานเท่านาน...
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอบคุณแคมเปญดีๆ คิดถึง...อ้อมกอดธรรมชาติ (Back to Nature) ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน พร้อมด้วยภาพสวยๆ เอาไปดูให้...หายคิดถึง