posttoday

ขับไปเที่ยวไป ในโอกินาวา (3)

25 พฤศจิกายน 2561

อรุณสวัสดิ์เช้าที่สดใสบนเกาะ Sasekoอันเงียบสงบ

อรุณสวัสดิ์เช้าที่สดใสบนเกาะ Sasekoอันเงียบสงบ ถึงอยากจะนอนต่อขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถซุกตัวนอนต่อได้ เพราะแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามา ทำให้ห้องเล็กๆ กะทัดรัดสว่างจ้าไปทั่ว นี่คงเป็นวิธีทักทายของพระอาทิตย์ที่อยากปลุกเราให้ลุกขึ้นมาชมวิวในยามเช้าสินะ ห้องพักอาจจะดูคับแคบไปเสียหน่อย แต่ก็นอนหลับสบายดี แถมยังมีระเบียงที่สามารถชดเชยขนาดของห้องได้ พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ เผยให้เห็นวิวที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผืนน้ำทะเลสีฟ้าคราม ถัดขึ้นมาเป็นบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมเกาะใหญ่ บรรยากาศตอนนี้กำลังดี ลมทะเลอ่อนๆ เคล้าเสียงนกร้องขานรับเช้าวันใหม่ เริ่มเห็นรถขับข้ามไปมาบนสะพานบ้าง ได้เวลาเตรียมพร้อมเริ่มวันที่สองของการเที่ยวโอกินาวาแล้ว คอนเซ็ปต์วันที่สองของเราก็สดใสไม่แพ้เช้าวันนี้นะ “เดินเล่นอุโมงค์ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ กินพิซซ่าร้านเด็ดวิวดี ตะลุยเกาะแห่งความรัก พระอาทิตย์ตก ณ แหลมมันซาโมะ” โดยเฉพาะการไปตะลุยเกาะแห่งความรัก อยากจะไปเที่ยวเป็นที่แรกเลย แต่เพื่อไม่ให้ย้อนไปย้อนมาก็เที่ยวตามลำดับดีกว่า

ขับไปเที่ยวไป ในโอกินาวา (3)

เราขับตรงดิ่งมาที่หมู่บ้านบิเสะ (Bise) เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ ซึ่งห่างจากอะควาเรียมที่เราไปเมื่อวานไม่ไกลนัก และตั้งอยู่ใกล้กับ Emerald Beach หาดทรายสีขาวที่ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า เป็นชายหาดที่สวยแห่งหนึ่งในโอกินาวา หมู่บ้านบิเสะมีความโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น ตรงที่ภายในหมู่บ้านจะมีต้น Fukugi กว่า 2 หมื่นต้น บางต้นอายุมากกว่า 300 ปี เรียงรายตลอดเส้นทางเดินภายในหมู่บ้าน เสมือนเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่สามารถเดินเล่นพักผ่อนได้ มีเรื่องเล่าขานมาว่า แต่ก่อนนี้บนเกาะโอกินาวายังไม่มีต้นไม้ เทพเจ้าจึงได้สร้างต้นไม้ขึ้นมาเพื่อทำให้เกาะมีความเขียวชอุ่มสมบูรณ์ โดยประทานต้นไม้ที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ตามลำดับ ต้น Fukugi เป็นต้นไม้ชนิดแรกที่เทพเจ้าสร้างขึ้น ให้มีลำต้นสูงและแข็งแรง มีใบใหญ่และหนาติดไฟยาก สามารถป้องกันภัยจากลมและไฟได้ จึงสร้างอยู่ใกล้กับบ้านเพื่อปกป้องคุ้มครองบ้านเรือนให้ปลอดภัย ที่หน้าหมู่บ้านมีที่จอดรถฟรี และสามารถสังเกตเห็นทางเข้าหมู่บ้านได้ไม่ยากนัก ทางเดินในอุโมงค์ต้นไม้จะมีป้ายบอกทิศทางอยู่ตลอด จุดแรกคือต้น Fukugi สามีภรรยา เนื่องจากเป็นต้น Fukugi 2 ต้นที่โตมาพร้อมกัน จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็นต้นไม้คู่สามีภรรยานั่นเอง บริเวณใกล้ๆ มีร้านขายงานปั้นดินเผาตัว Shisa หลากรูปแบบหลายขนาด ตั้งโชว์โดยที่ไม่มีคนขาย แต่ถ้าเราอยากจะซื้อ เพียงแค่กดกริ่ง ก็จะมีคนมาคิดเงินให้ ก็นับว่าเป็นวิธีการขายที่ให้เกียรติผู้ซื้อมาก ประมาณว่าใครสนใจจริงๆ เรียกนะ ระหว่างนี้ก็จะไปทำอย่างอื่นต่อ ไม่ต้องเฝ้าร้านตลอดเวลา ว่าแต่ตัว Shisa คืออะไร ทำไมเราเห็นตัวที่มีลักษณะแบบนี้ทั่วทั้งเกาะโอกินาวา

ขับไปเที่ยวไป ในโอกินาวา (3)

Shisa หรือที่ชาวโอกินาวาเรียกว่าซีซ่า มีหน้าตาคล้ายกับสุนัขผสมกับสิงโต เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่ทำหน้าที่ปกป้องมนุษย์จากสิ่งชั่วร้าย มีทั้งเพศเมียกับเพศผู้ ตัวผู้จะอ้าปากเพื่อขู่คำรามสิ่งชั่วร้ายให้ออกไป ส่วนตัวเมียจะหุบปากเพื่อเป็นการเก็บความสุขและสิ่งดีๆ ไว้ไม่ให้หายไปไหน ระหว่างที่เราเดินเล่นตามเส้นทาง แม้อากาศจะร้อนแต่ก็ได้ต้น Fuguki ที่เป็นเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ บังแดดให้เราได้เกือบตลอดทาง แต่ก็ต้องระวังเรื่องแมลงและยุงด้วย โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อนแบบนี้ ที่นี่เราสามารถใกล้ชิดกับความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นโอกินาวาได้ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่พักอาศัยจริงที่ชาวบ้านใช้ชีวิตกันตามปกติ ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ฉะนั้นในระหว่างเดินเล่นจึงห้ามส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้าน นอกจากการเดินแล้ว เรายังสามารถเช่าจักรยานปั่นชมรอบๆ หมู่บ้านไปจนถึงชายหาดบิเสะได้ หรือที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือ นั่งเกวียนที่ใช้ควายลากทัวร์ชมรอบหมู่บ้านพร้อมกับฟังไกด์ผู้ช่ำชองบรรยายความเป็นมาต่างๆ ภายในหมู่บ้านมีร้านอาหารท้องถิ่นอยู่บ้าง หน้าทางเข้าหมู่บ้านก็มีคาเฟ่ที่น่าสนใจ แต่ไม่มีที่ไหนดึงดูดใจเราเท่ากับร้าน Pizza in the sky ร้านพิซซ่าร้านเด็ดวิวดี หลังจากเดินเล่นไปปัดยุงพอเป็นพิธี เราก็รีบขับรถออกจากหมู่บ้าน แล้วตรงดิ่งไปที่ร้านพิซซ่าที่อยู่ห่างไปราว 15-20 นาที อย่างรวดเร็ว เพราะใกล้เวลาจะเปิดแล้ว ได้ข่าวมาว่าร้านนี้คนรอคิวเยอะมาก ถ้าไปถึงก่อนก็จะได้ไม่ต้องคอยนาน

ขับไปเที่ยวไป ในโอกินาวา (3)

Pizza in the sky เป็นร้านพิซซ่าที่มีความเก๋และมีสไตล์ของตัวเองมาก เป็นร้านชื่อดังที่ไม่ควรพลาดถ้ามาโอกินาวาตอนเหนือ ร้านตั้งอยู่บนเขา มีวิวให้ถ่ายรูปสวยงาม จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน ก่อนอื่นเราต้องขับรถขึ้นมาทางเล็กๆ และมีความชันพอสมควร ก่อนจะมาเจอกับร้านแห่งนี้ บริเวณหน้าร้านมีที่จอดรถมากมาย เรามาถึงก่อนร้านเปิด แต่พอมองเห็นรถที่จอดอยู่เท่านั้นแหละ เดาสถานการณ์ในร้านได้ว่าคนต้องแน่นแล้วแน่ๆ และก็เป็นอย่างที่คาด ถ้าเรามาช้ากว่านี้ไปอีกนิด ได้นั่งหิวรอกินรอบถัดไปแหงๆ เพราะถึงเราจะรีบมาแค่ไหน ก็ยังมีคนที่มาถึงก่อนเรา พอไปถึงหน้าร้านให้เขียนชื่อ จำนวนคน และเลือกโต๊ะว่าจะนั่งกินตรงไหน ในร้าน นอกร้าน หรือที่ไหนก็ได้ ด้วยความหิวจัดของเราทั้งสองคน จึงเลือกนั่งที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้กิน พอเวลา 11.30 น. ร้านก็เปิดและทยอยเชิญลูกค้าตามคิว จนมาถึงคิวของเรา โชคดีที่ได้นั่งนอกร้าน สามารถทานไปด้วยดื่มด่ำกับวิวไปด้วย ตรงตามคอนเซ็ปต์ของเราเลย แต่วิวดีก็ต้องแลกกับความร้อนของแดดยามเที่ยง ทางร้านใจดีมีพัดท้องถิ่นให้บริการ คงอยากให้ลูกค้าได้พัดผ่อนคลายทั้งความร้อนและความหิว เมนูของร้านก็กิ๊บเก๋มีสไตล์ เป็นพัดที่เปิดออกมาจะเขียนเมนูต่างๆ มาที่นี่คุณไม่ต้องเลือกหน้าพิซซ่าให้เสียเวลา เพราะขายแค่พิซซ่าฮาวาเอี้ยนหน้าเดียวเท่านั้น เราสั่งพิซซ่า สลัด และน้ำผลไม้คนละแก้ว ระหว่างรอก็สังเกตเห็นว่าคนมาเข้าคิวรออยู่ตลอด ส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีและไต้หวัน เพราะอยู่ใกล้เลยเดินทางมาเที่ยวได้ง่าย รออาหารไม่นานมากนัก อาหารที่สั่งก็พร้อมทานอยู่ตรงหน้า ฮู้ว! พิซซ่าร้อนๆ สลัดจานโต กับน้ำผลไม้เย็นชื่นใจ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว รสชาติของพิซซ่ากลางๆ ไม่เค็มไป ไม่อ่อนไป กลมกล่อมกำลังเหมาะ ทานกับซอสที่อยู่บนโต๊ะสักหน่อยเพิ่มรสจัดจ้านได้มากขึ้น มื้อกลางวันนี้เป็นอะไรที่คุ้มค่าแก่การรอคอย อิ่ม! ดี! ราคาไม่แพง ถ้ามาก่อนก็ไม่ต้องรอคิวนาน นับว่าเป็นร้านอาหารแนะนำว่าควรมาลองสักครั้ง แต่อย่ามาวันอังคารกับวันพุธนะ เพราะร้านปิด เมื่อท้องอิ่มแล้วถึงเวลาที่กองทัพจะต้องเดินทางต่อ ตั้งพิกัดแล้วไปตะลุยเกาะแห่งความรักกันเลย