posttoday

ถ้ามาโรมจงดื่ม‘คาปูชิโน่’

28 กันยายน 2561

เครื่องดื่มในหมวดกาแฟเอสเปรสโซ่ จากศตวรรษที่ 17 ที่มีต้นกำเนิด ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลีโดยแท้

เรื่อง/ภาพ คาเอรุ

เครื่องดื่มในหมวดกาแฟเอสเปรสโซ่ จากศตวรรษที่ 17 ที่มีต้นกำเนิด ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลีโดยแท้ สำหรับ คาปูชิโน่ (Cappuccino) ซึ่งแต่ดั้งเดิมนั้น การเตรียมคาปูชิโน่ก็คือ มีส่วนผสมของเอสเปรสโซ่ 2 ช็อต ตามด้วยนมร้อน สตีมมิลค์ กับฟองนมในสัดส่วนเท่าๆ กัน

ทว่า ในเวลาต่อมา ก็มีคาปูชิโน่เกิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมมาแทนที่ของนมสด มีการเติมรสชาติของซินนามอน หรือผงช็อกโกแลตลงไป สำหรับใครที่แยกแยะคาปูชิโน่กับคอฟฟี่ลาเต้ (Caffe Latte) ไม่ถูกนั้น ดูง่ายๆ ก็คือ ขนาดของแก้วคาปูชิโน่จะเล็กกว่า ซึ่งเกิดมาจากปริมาณของนมและฟองนมนั่นเอง

คาปูชิโน่ ภาษาอิตาเลียนหมายถึง คาปูชินน้อยๆ โดยแรงบันดาลใจมาจากลักษณะของคณะภราดาน้อยกาปูชิน (Capuchin Friars) ด้วยสี 3 สี ที่ประกอบขึ้นเป็นภาพที่เราเห็นนักบวชนิกายนี้ ก็คือ สีขาว ดำ และน้ำตาลเข้ม โดยมีจุดเด่นเป็นหมวกสีขาว ซึ่งคาปูชิโน่แบบที่เราเห็นในปัจจุบันได้มีพัฒนาการมาไกลจากจุดเดิมอยู่มากโข

ขณะที่อีกที่มาก็ว่า คาปูชิโน่ ได้แรงบันดาลใจมาจากการดื่มกาแฟแบบชาวเวียนนา ที่มีกาแฟชื่อว่า คาปูซิเนอร์ (Kapuziner) ซึ่งหมายถึง กาแฟใส่วิปครีมและเครื่องเทศ โดยคาปูชิโน่แบบอิตาเลียนนั้น ออกสู่สายตาชาวโลกเมื่อทศวรรษที่ 1930 ทางเมืองทริเอสเต ทางเหนือของอิตาลี ที่มีคาเฟ่สไตล์เวียนนามากมาย และคาปูชิโน่ ก็ฮิตมากในออสเตรีย โดยเฉพาะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นที่นิยมดื่มกันมาก ก่อนจะโด่งดังไปทั่วโลกและกลายเป็นกาแฟที่ป๊อปปูลาร์ที่สุดสูตรหนึ่งในตระกูลเอสเปรสโซ่ ขณะที่ คาปูซิเนอร์ ในเมนูกาแฟของออสเตรียก็ยังมีเสิร์ฟกันอยู่เหมือนเดิม

ปัจจุบัน คลาสสิกคาปูชิโน่ ก็ยังมีส่วนผสมของเอสเปรสโซ่ 2 ช็อต ตามด้วยนมร้อน สตีมมิลค์ กับฟองนมในสัดส่วนเท่าๆ กัน ส่วนมากจะชงผ่านเครื่องทำเอสเปรสโซ่ (ที่มีมาตั้งแต่การคิดค้นได้สำเร็จโดย ลุยจิ เบซเซรา ในปี 1901) โดยเริ่มจากการบริวเอสเปรสโซ่ 2 ช็อตลงไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเติมนมร้อนและฟองนมในปริมาณที่เท่าๆ กับกาแฟ 2 ช็อตนั้นลงไปตามลำดับ ส่วนใครจะสรรค์สร้างลวดลายที่เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (Latte Art) ลงไปหรือไม่ก็สุดแล้วแต่

โดยทั่วไปแล้ว คาปูชิโน่ จะเสิร์ฟในถ้วยเล็กๆ มีหูจับ ปริมาณไม่เกิน 180 มล. รวมฟองนมหนานุ่ม ขณะที่ลาเต้จะมีปริมาณราว 200-300 มล. เสิร์ฟในแก้วทรงสูง มีหรือไม่มีหูจับก็ได้ ซึ่งถ้วยเล็กๆ แบบที่เสิร์ฟคาปูชิโน่นี้ เพิ่งได้รับการออกแบบมาในทศวรรษที่ 1950 คือปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมๆ กับกรรมวิธีนำให้นมร้อนด้วยการสตีม และการทำให้เกิดฟองนม -- นี่นับว่าเป็นจุดกำเนิดของการทำกาแฟรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

ในอิตาลีและยุโรป คาปูชิโน่ มักจะเสิร์ฟในมื้ออาหารเช้าเท่านั้น พร้อมๆ กับเพสตรี้สักหนึ่งอย่าง คนอิตาลีมักจะไม่ดื่มคาปูชิโน่ในมื้ออื่นหลังจากอาหารเช้า เรียกว่าหลัง 11.00 น. จะไม่ดื่มกาแฟใส่นม เพราะรู้สึกว่าหนักท้องเกินไป และรู้สึกว่า (อาหาร) จะไม่ย่อยนั่นเอง