posttoday

กัมพูชา ร่ำรวยประวัติศาสตร์ รื่นรมย์ธรรมชาติ

11 สิงหาคม 2561

หากชีวิตต้องการความรื่นรมย์ของธรรมชาติ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และสัมผัสวัฒนธรรมได้อย่างเพลิดเพลิน แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเราด้วย ก็ต้องเป็นประเทศนี้เลย “กัมพูชา”

หากชีวิตต้องการความรื่นรมย์ของธรรมชาติ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และสัมผัสวัฒนธรรมได้อย่างเพลิดเพลิน แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเราด้วย ก็ต้องเป็นประเทศนี้เลย “กัมพูชา”

ปัจจุบันการเดินทางจากประเทศไทยไปกัมพูชา เราสามารถเลือกเที่ยวบินไปลงที่กรุงพนมเปญ หรือไปที่เสียมราฐก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าเสียมราฐ หรือเสียมเรียบ จะเป็นปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่า เพราะเป็นที่ตั้งของปราสาทนครวัด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

สำหรับเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เสียมราฐนั้น แต่ละวันมีหลายเที่ยวบิน นักท่องเที่ยวจึงสามารถเลือกได้ว่าจะมาถึงเช้าตรู่ แล้วตรงไปเที่ยวนครวัดได้เลย หรือจะมาถึงตอนเย็น เพื่อนอนพักก่อนหนึ่งคืนแล้วค่อยตื่นไปเที่ยวตอนเช้าก็ได้

นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสได้มาสัมผัสเสน่ห์ของนครวัด จุดหมายแรก ก็คือ การได้มาเห็นภาพแสงแรกของพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างมาทางด้านหลังของปราสาทนครวัด ทำให้เห็นเงาของปราสาทสะท้อนบนผิวน้ำ สวยงามคุ้มค่าแก่การได้มาชม

หลังจากชมแสงแรกแล้ว นักท่องเที่ยวบางคนอาจกลับไปพักยังที่พักต่อ หรือบางคนก็อาจรอเที่ยวชมความอลังการของปราสาทต่อกันเลยก็ได้

นอกจากนครวัดแล้ว ห่างออกไปไม่ไกลทางทิศเหนือ คือ พื้นที่ของนครธม อดีตเมืองหลวงเก่าแห่งสุดท้ายของอาณาจักรขอม ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 9 ตารางกิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขอมก่อนล่มสลาย

ทุกคนที่ได้มาเที่ยวชมเมืองเสียมราฐ ก็จะได้สัมผัสว่า ชาวกัมพูชานั้นใช้ชีวิตอยู่กับความเชื่อโบราณ แล้วก็ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ดังนั้นเมื่อชาวกัมพูชาเดินทางไปไหนมาไหนก็จะต้องมาสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองก่อน ถ้ามาที่จังหวัดเสียมราฐก็ต้องมาสักการะพระพุทธรูป 2 องค์ คือ องค์เจ๊ก องค์จอม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นศาลหลักเมืองของเสียมราฐ นักธุรกิจหรือใครๆ ที่จะมาดำเนินกิจการใดๆ ที่เมืองนี้ ก็มักจะต้องมาสักการะขอพรพระพุทธรูป 2 องค์นี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเสมอ

กัมพูชา ร่ำรวยประวัติศาสตร์ รื่นรมย์ธรรมชาติ

นอกจากเที่ยวปราสาท สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่เสียมราฐก็ยังมีตลาดอยู่อีกหลายแห่ง ส่วนใหญ่ก็จะเปิดขายของฝากของที่ระลึก เรามักพบเจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพบคนพื้นเมืองเท่าไรนัก แต่ถ้าอยากเห็นคนพื้นเมืองก็ต้องไปที่ตลาดแห่งนี้ ที่เรียกกันว่า ปซาเลอทมทะเมย (Phsar Leu Thom Thmey)

ตลาดปซาเลอ ถือเป็นตลาดท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของเสียมราฐ มีสินค้าให้เลือกซื้อครบทุกประเภท สินค้าที่ขึ้นชื่อที่สุด ก็คือ ไส้กรอกและปลาแห้ง

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมักจะไปที่ตลาดแล้วก็ Pub Street นั่งกินนั่งดื่มกันในเมือง แต่สำหรับชาวกัมพูชาถ้ามาที่เสียมราฐก็ต้องมาที่ถนนสายนี้ เขาเรียกว่า พะโลวหกแซ็บ หรือว่า “ถนนสาย 60” ที่นี่มีทั้งอาหารการกิน มีข้าวของเครื่องใช้ แล้วก็มีกิจกรรมสนุกๆ สำหรับเด็กๆ ด้วย

ถนนสาย 60 เส้นนี้มีความยาวกว่า 6 กิโลเมตร โดยบริเวณที่สามารถตั้งร้านค้าได้อยู่ที่ประมาณ 1 กิโลเมตร ฟังดูเหมือนระยะทางอาจจะไม่มากนัก แต่ตลอดสองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยร้านค้านับร้อย โดยจะแบ่งเป็นโซนขายเสื้อผ้า ขายของใช้ต่างๆ โซนกิจกรรมของเด็กๆ และที่เด็ดที่สุด ก็คือ โซนอาหาร

สำหรับคนเสียมราฐแล้ว ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่แหล่งซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งนัดพบของเพื่อนฝูงและครอบครัว ในบรรยากาศแบบสบายๆ เป็นกันเองอีกด้วย

หากย้อนหลังไปก่อนหน้านี้สักสิบปี การไปเที่ยวกัมพูชาเราก็จะคิดถึงแค่การไปเที่ยวปราสาทนครวัด นครธม บางคนยังติดภาพมาจนถึงปัจจุบันว่าประเทศนี้มีแต่โบราณสถาน ทั้งที่จริงแล้วกัมพูชาเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีทั้งเมืองทันสมัย เมืองธรรมชาติ และมีเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอันเลื่องชื่อ ดังเช่นที่คนส่วนใหญ่เลือกมาเที่ยวที่สีหนุวิลล์ เพราะชื่อเสียงและความแปลกใหม่ แถมที่นี่ยังมีชายหาดและที่พักให้เลือกได้หลายระดับอีกด้วย

ที่สีหนุวิลล์ มีชายหาดสวยๆ อยู่หลายแห่ง มีทั้งที่เป็นชายหาดสาธารณะและหาดส่วนตัว ในบรรดาชายหาดเหล่านั้น หาดสุขา เป็นชายหาดส่วนตัว มีหาดทรายขาวยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ถือเป็นหาดที่สวยงามและสะอาดที่สุด ด้วยเนื้อทรายละเอียด และมีการดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมที่นี่ได้ โดยส่วนใหญ่ก็จะต้องมาพักที่โรงแรม หรือมาใช้บริการร้านอาหาร หรือกาสิโนของที่นี่

กัมพูชา ร่ำรวยประวัติศาสตร์ รื่นรมย์ธรรมชาติ

แต่แม้ว่าหาดสุขาจะเป็นหาดส่วนตัว แต่ก็ยังเหลือพื้นที่ด้านท้ายส่วนหนึ่งให้คนภายนอกได้ไปเที่ยวเล่น

นักท่องเที่ยวที่มาพักหาดสุขาส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ มาเป็นครอบครัว หรือผู้สูงอายุมาพักผ่อน แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นและคู่รักก็จะนิยมไปอีกหาดหนึ่ง ที่ชื่อว่า หาดโอเตรส ซึ่งดูจะมีชีวิตชีวา และมีความเก๋ไก๋มากกว่า

หาดโอเตรส สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของสีหนุวิลล์ ไม่ต่างจากหาดสุขานัก คนท้องถิ่นเรียกที่นี่ว่า ชะแน โอแต๊ะ ซึ่งเป็นภาษากัมพูชา หาดนี้เป็นเนื้อทรายละเอียดยาวต่อเนื่องประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนหนึ่งก็แบ่งเป็นร้านอาหาร เป็นคาเฟ่ อีกส่วนหนึ่งก็เปิดเป็นหาดสาธารณะ

ด้วยความยาวกว่า 3 กิโลเมตรของหาดโอเตรส ทำให้การแบ่งสัดส่วนของหาดส่วนตัว และหาดสาธารณะทำได้ไม่ยาก ซึ่งก็แน่นอนว่านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการหาดส่วนตัวนั้น จะเป็นชาวต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงเต็มไปด้วยเกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร บาร์ และร้านนวด มีการออกแบบตกแต่งให้ดูสวยงามและมีสไตล์ ถูกใจหนุ่มสาวและคนที่ชอบบรรยากาศเพลิดเพลิน และธรรมชาติสบายๆ ส่วนหาดสาธารณะนั้นก็จะมีนักท่องเที่ยวที่หลากหลายกว่า รวมไปถึงชาวกัมพูชาเองด้วย

สถานที่อีกแห่งที่เราจะพลาดไม่ได้เลย เมื่อมาเยือนสีหนุวิลล์ ก็คือ หาดโอเชอเตียล ซึ่งเป็นหาดสาธารณะที่มีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเดินทางมาสะดวก มีร้านค้าร้านอาหารให้เลือกเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าถ้ามาถึงเมืองนี้แล้วไม่ได้มาเหยียบน้ำทะเลที่โอเชอเตียล เหมือนมาไม่ถึงสีหนุวิลล์

ถึงแม้ว่าสีหนุวิลล์จะมีท่าเรือน้ำลึกที่มีเรือสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน ขณะที่ไม่ไกลจากที่นี่ก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของสีหนุวิลล์ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท้องทะเลก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนยังสามารถหากุ้งหอยปูปลาได้เหมือนเดิม

ชุมชนชาวประมงแห่งนี้ มีชื่อว่า ชุมชนตุมนุ๊บ-โรล็อค ซึ่งคำว่า ตุมนุ๊บ ก็คือทำนบนั่นเอง เพราะหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในแนวกำแพงกันคลื่นของท่าเรือสีหนุวิลล์ พ่อค้าแม่ค้าจะมารอรับซื้อกุ้งหอยปูปลากันถึงที่ โดยจะนำไปขายปลีกอีกทีหนึ่ง โดยอาหารทะเลจะถูกนำไปส่งที่ตลาดเก่า ใจกลางเมืองสีหนุวิลล์ ตลาดแห่งนี้ก็ไม่ได้มีแค่อาหารทะเลเท่านั้น แต่ยังมีของกินของใช้อื่นๆ อีกหลายอย่างด้วย ส่วนสินค้าที่คุณภาพดีๆ ส่วนใหญ่ก็จะถูกส่งไปยังกรุงพนมเปญ

กัมพูชา ร่ำรวยประวัติศาสตร์ รื่นรมย์ธรรมชาติ

ที่เมืองสีหนุวิลล์ ไม่มีห้างสรรพสินค้า เพราะฉะนั้นถ้าหากใครต้องการซื้อข้าวของเครื่องใช้ ไม่ว่าจะเป็นของกิน-ของใช้ หรือเสื้อผ้า เครื่องประดับ ก็ต้องแวะมาที่ตลาดบน หรือ ปซา-เลอ เป็นตลาดเก่าที่อยู่ใจกลางเมืองสีหนุวิลล์ ที่นี่มีของขายครบทุกอย่าง เรียกได้ว่า ใครขาดเหลืออะไร มาที่นี่ รับรองไม่ผิดหวัง

อีกจังหวัดหนึ่งของกัมพูชา ชื่อคุ้นหูเรามาก เพราะเรามักได้ยินชื่อเมืองนี้ในสมัยเรียนวิชาประวัติศาสตร์และสังคม ก็คือ พระตะบอง เป็นจังหวัดที่มีความใกล้ชิดกับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง อยู่ติดกับ จ.สระแก้ว และจันทบุรี ของไทยเรานี่เอง ผู้คนก็เดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

ใครที่มาถึงพระตะบองครั้งแรก ก็มักจะไปดูรูปปั้นพญาตะบองขยูง (ขะ-ยูง) เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพระตะบอง เดิมทีก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตนัก เป็นเพียงรูปปั้นของมนุษย์ที่ทาสีเหลืองนวลคล้ายสีผิวของคน แต่เมื่อมีการบูรณะใหม่ ปั้นให้มีขนาดใหญ่ ทำหน้าให้ดุดัน และทาสีผิวกายให้เป็นสีดำแทน ทำให้มีความน่าเกรงขามยิ่งขึ้น

จังหวัดพระตะบอง ปลูกข้าวได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศกัมพูชา มีคำเปรียบเปรยว่า ที่นี่คืออู่ข้าวของประเทศนี้ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามีระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ชาวนามีน้ำใช้ตลอดทั้งปี

ประเทศไทยกับกัมพูชา เรามีประวัติศาสตร์ร่วมกันหลายยุคหลายสมัย แม้วันเวลาผ่านไปหลายร้อยปี บางเรื่องราวก็ยังถูกบันทึกไว้ บางสถานที่ก็ยังคงอยู่ ดังเช่น ศาลากลางจังหวัดพระตะบอง คือ สถานที่ซึ่งสามารถบอกให้เรารู้ได้ว่า สยามเคยมีอิทธิพลและมีบทบาทในดินแดนแถบนี้

ศาลากลางแห่งนี้ คือ ต้นแบบการสร้างโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่ จ.ปราจีนบุรี ของไทย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในอดีตสมัยที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เคยมาเป็นเจ้าเมืองพระตะบอง ได้มีการสั่งให้ออกแบบและสร้างอาคารในสไตล์โคโรเนียลขึ้น เมื่อท่านย้ายกลับประเทศไทย ไปอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี จึงนำเอารูปแบบการสร้างแบบเดียวกันนี้ ไปสร้างศาลากลางจังหวัด ซึ่งก็คือโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนั่นเอง

ในจังหวัดพระตะบองมีวิหารเก่าแก่และปราสาทมากมาย อาจจะมากกว่าในจังหวัดเสียมราฐเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่าด้วยความที่ปราสาทเหล่านั้นตั้งอยู่กระจัดกระจายในท้องทุ่งนา และหลายๆ สถานที่ก็ยังไม่ได้รับการโปรโมทให้เป็นที่ท่องเที่ยว จึงยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร

อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งถ้ามีโอกาสมาท่องเที่ยวพระตะบองแล้วต้องไม่พลาด ก็คือ ปราสาทพนมบานอน ซึ่งเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11-12 ในยุคเดียวกับนครวัด โดยใช้เวลาสร้างนานกว่า 39 ปี ตามความเชื่อนั้นปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการสรรเสริญและบูชาเทพเจ้า การเดินทางขึ้นไปสักการะต้องขึ้นบันไดประมาณ 350 กว่าขั้น เป็นการพิสูจน์ศรัทธาในระดับหนึ่ง

นอกจากปราสาทพนมบานอนแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ของพระตะบอง ก็คือ พนมสำเภา ที่นี่มีธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม แล้วก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติกัมพูชาให้ได้เรียนรู้กัน เมื่อขึ้นมาบนจุดสูงๆ ยังได้มีโอกาสเห็นวิวสวยๆ ครบ 360 องศาเลยทีเดียว

กัมพูชา ร่ำรวยประวัติศาสตร์ รื่นรมย์ธรรมชาติ

ที่พนมสำเภามีถ้ำเล็กถ้ำใหญ่อยู่หลายแห่ง ซึ่งถ้ำที่มีความสำคัญกับผู้คนของเมืองนี้ ก็คือ ถ้ำผีหรือถ้ำหัวกะโหลก เหตุที่ถ้ำถูกเรียกชื่อแบบนี้ ก็เพราะว่าด้านล่างเป็นที่เก็บชิ้นส่วนของกระดูก หัวกะโหลกของผู้ที่เสียชีวิตในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ

กิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของพนมสำเภา นั่นก็คือ การได้มารอชมฝูงค้างคาวนับแสนนับล้านตัว บินออกจากถ้ำในตอนเย็นๆ

กิจกรรมที่มีเสน่ห์ และสนุกสนานที่สุด นับว่าเป็นเสน่ห์ของการมาเที่ยวพระตะบอง ก็คือ การมานั่ง รถไฟไม้ไผ่ หรือ Bamboo Train ซึ่งเป็นยานพาหนะหนึ่งเดียวในโลกที่สร้างจากไม้ไผ่

ยุคที่เขมรแดงครองเมือง รถไฟไม้ไผ่ถูกใช้เป็นพาหนะลำเลียงทหารและยุทโธปกรณ์ เพื่อเข้าสู่สนามรบ ต่อมาเมื่อสงครามยุติลง รางรถไฟถูกปล่อยร้าง ชาวบ้านจึงได้สร้างรถไฟไม้ไผ่ ให้กลับขึ้นมาใช้งานได้อีกครั้ง โดยปรับเปลี่ยนให้มีความทันสมัยมากขึ้น ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์ และเปิดเป็นรถไฟรับจ้างให้บริการขนส่งข้าวของและผู้โดยสารในพื้นที่

เมื่อภาพเหล่านั้นออกสู่สายตานักท่องเที่ยวก็ได้รับความสนใจอย่างมาก จนกลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของนักท่องเที่ยวที่มาพระตะบอง

เส้นทางรถไฟไม้ไผ่ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ไป-กลับ ก็ใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถไฟไม้ไผ่สองคันต้องสวนทางบนรางเดียวกัน มีกฎกติการ่วมกันว่า ถ้าจำนวนคนฝั่งไหนน้อยกว่า จะต้องเป็นฝ่ายยกรถไฟหลบ เพื่อให้อีกทางหนึ่งไปก่อน

ใครที่มากัมพูชาก็ต้องหาโอกาสมาลองประสบการณ์แบบนี้ เพราะนอกจากจะสนุกและเป็นหนึ่งเดียวในโลกแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแบบนี้อยู่อีกไหม เพราะว่าล่าสุดทางรัฐบาลกัมพูชาเพิ่งมีโครงการที่จะพัฒนาระบบรางรถไฟเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพณิชย์มากขึ้น นั่นหมายความว่า Bamboo Train หรือว่ารถไฟไม้ไผ่แบบนี้ก็อาจจะไม่มีให้เห็นแล้ว

ปลายปี 2016 เป็นช่วงที่กัมพูชามีการปรับปรุงระบบรถไฟใหม่ ทำให้ต้องยกเลิกรถไฟไม้ไผ่ไป นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ดี เมื่อต้นปี 2018 ที่ผ่านมา รัฐบาลและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว เล็งเห็นว่า นี่เป็นกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก และกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกไปแล้ว จึงได้อนุญาตให้นำรถไฟไม้ไผ่กลับมาบริการนักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากลองสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่นี้

ทั้งหมดนี้ พบได้ที่ “กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่เอง