posttoday

ฮอยอัน เหลืองดี มีเสน่ห์

28 กรกฎาคม 2561

ทำไมเวลาที่เอ่ยชื่อเมือง “ฮอยอัน (Hoi An)” แล้วคนส่วนใหญ่จะมีคำสร้อยต่อท้ายว่า “…ฉันรักเธอ”

ทำไมเวลาที่เอ่ยชื่อเมือง “ฮอยอัน (Hoi An)” แล้วคนส่วนใหญ่จะมีคำสร้อยต่อท้ายว่า “…ฉันรักเธอ” หรืออาจเป็นเพราะคนไทยรู้จักชื่อเมืองนี้จากละครไทยเรื่องหนึ่งที่เคยโด่งดังในอดีต (พ.ศ. 2548) เกิดเป็นกระแสนิยมท่องเที่ยวเวียดนามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระทั่งทุกวันนี้ฮอยอันก็ยังเป็นหนึ่งในปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับคนไทยเช่นเคย แถมบางคนยังไปเที่ยวซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งๆ ที่เมืองนี้เป็นเมืองเล็กนิดเดียวเอง ไปครั้งเดียวก็น่าจะเที่ยวทั่วเมืองแล้วไม่ใช่หรือ คำตอบน่าจะเป็นเพราะคนที่ได้ไปฮอยอันจำต้องหลงเสน่ห์เมืองนี้ทุกคน

คำว่า ฮอยอัน หมายถึง “ที่ที่คนมาพบกันอย่างสันติ” คนเวียดนามออกเสียงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า “โห่ยอัน” เป็นเมืองเล็กๆ ปากแม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรจามปาโน่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่เมืองท่าแห่งนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อตลาดการค้าเครื่องเทศของจามปา โดยสมัยนั้นผู้คนรู้จักเมืองท่าแห่งนี้ในชื่อเดิมว่า “ไฮโฟ (Hai Pho)” และด้วยความรุ่งเรืองทางการค้า ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนที่มาจากหลากหลายมณฑล ชาวโปรตุเกส ชาวดัตช์ ชาวอินเดีย และชาวญี่ปุ่น

คลองเล็กๆ ที่เชื่อมกับแม่น้ำทูโบนแบ่งพื้นที่เมืองออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นชุมชนชาวญี่ปุ่น ส่วนอีกฝั่งเป็นชุมชนชาวจีน ซึ่งต่อมามีการสร้างสะพานข้ามคลองเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางไปมาระหว่างสองฝั่ง โดยชาวญี่ปุ่นเป็นคนสร้างจึงมีสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นและถูกเรียกจนติดปากมาถึงปัจจุบันว่า “สะพานญี่ปุ่น (Japanese Bridge)” ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังคงอยู่ และกลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองฮอยอันไปแล้ว แถมยังปรากฏให้เห็นอยู่บนด้านหลังของธนบัตรมูลค่า 2 หมื่นด่อง อีกด้วย

เมืองท่าฮอยอันเริ่มหมดบทบาทลงช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เพราะปากแม่น้ำเริ่มตื้นเขิน พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ไปสร้างเมืองท่าแห่งใหม่ขึ้นที่ดานัง (Da Nang) ทิ้งให้ฮอยอันเงียบเหงาอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งมีการโปรโมทให้เป็นเมืองท่องเที่ยว ฮอยอันจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ฮอยอัน เหลืองดี มีเสน่ห์

ในปี 1999 เขตเมืองเก่าริมแม่น้ำทูโบนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ด้วยเหตุผลที่เมืองนี้ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีและเป็นตัวอย่างของเมืองท่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของศตวรรษที่ 15-19

นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่มักเข้าใจผิดว่าฮอยอันคือเมืองเก่าบนพื้นที่ 2.8 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเมืองฮอยอันทั้งเมืองมีพื้นที่รวมถึง 60 ตารางกิโลเมตร แต่คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวก็จะตรงมาที่เขตเมืองเก่าแห่งนี้เท่านั้น

ประชากรของฮอยอันมีแค่ประมาณ 1.2 แสนคนเท่านั้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปที่นั่นมีมากกว่าคนท้องถิ่นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เห็นเดินกันเกลื่อนเมืองฮอยอันนั้นเป็นนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดเลย เพราะแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาที่ฮอยอันไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน แล้วนักท่องเที่ยวเขามาทำอะไรกันมากมายที่เมืองนี้ คำตอบง่ายๆ ก็คือมาเที่ยวชมและมารื่นรมย์กับบรรยากาศเมืองเก่าฮอยอัน

เขตเมืองเป็นกลุ่มอาคารสีเหลืองเข้ม (คล้ายสีขมิ้น) ที่มีการวางผังเมืองแบบตะวันตก คือมีอาคารที่แบ่งเป็นห้องหน้ากว้างใกล้เคียงกันและหน้าบ้านทุกหลังหันเข้าหาถนน ซึ่งเชื่อมต่อและตัดกันเป็นระบบกริด อาคารเกือบทุกหลังทาสีโทนเดียวกันหมด ไม่เว้นแม้แต่อาคารสร้างใหม่ที่อยู่นอกเขตเมืองเก่าก็พลอยทาสีเหลืองเข้มไปด้วย ซึ่งทำให้เขตเมืองเก่าดูกว้างออกไปยิ่งกว่าเดิม

ฮอยอัน เหลืองดี มีเสน่ห์

เขตเมืองเก่าไม่ได้มีประตูเมืองปิดกั้น ดังนั้นใครจะเดินเข้าไปเที่ยวเลยก็ได้ ไม่มีค่าผ่านประตู เพียงแต่ในเมืองแห่งนี้มีสถานที่เก่าแก่ซึ่งต้องมีค่าบำรุงรักษา ดังนั้นการจะเข้าไปชมในบ้านหรือพิพิธภัณฑ์ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายนิดหน่อย โดยนักท่องเที่ยวสามารถซื้อคูปองชุดได้ที่จุดขายคูปองตรงทางเข้าเมืองเก่า ราคาชุดละ 1.2 แสนด่อง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 170 บาท คูปองชุดดังกล่าวจะสามารถใช้ผ่านเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ได้ทั้งหมด 5 สถานที่ด้วยกัน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเข้าชมได้ทุกสถานที่ที่เก็บค่าผ่านประตู ดังนั้น จึงต้องเลือกว่าจะเข้าไปชมสถานที่ใดบ้าง

สถานที่แรกที่แนะนำว่าไม่ควรพลาดก็คือไปชมการแสดงที่ Hoi An Traditional Art performance house ซึ่งจะมีการแสดงร้องเพลง ร่ายรำ และมีการละเล่นให้ชมกันวันละ 3 รอบ คือ เวลา 10.15 น. 15.15 น. และ 16.15 น. แต่ด้วยขนาดของโรงละครที่ไม่ได้กว้างขวางมาก นักท่องเที่ยวที่ไม่อยากพลาดที่นั่ง ก็ต้องไปก่อนเวลาเริ่มการแสดงมากสักหน่อย

หลังจากชมการแสดงที่มีความยาวกว่า 1 ชั่วโมงจบแล้ว เราก็จะเหลือคูปองอีก 4 ใบ แนะนำว่าให้ไปใช้คูปองอีกหนึ่งใบที่สะพานญี่ปุ่น เพราะถึงแม้ว่าเราจะไปชมและไปถ่ายรูปกับสะพานญี่ปุ่นได้โดยไม่เสียเงิน แต่การจะเดินเข้าไปชมในอาคารที่อยู่บนสะพานก็ต้องเสียค่าเข้าชม ส่วนด้านบนสะพานทำเป็นอาคารที่มีหลังคาครอบ ฝั่งหนึ่งเป็นช่องทางเดิน อีกฝั่งถูกสร้างเป็นห้อง คล้ายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีรูปปั้นเทพเจ้า และมีแท่นสักการะ

รูปปั้นเทพเจ้าลิงเพราะว่าสะพานนี้เริ่มสร้างในปีวอก และรูปปั้น (เทพเจ้า) สุนัข เพราะสะพานนี้สร้างเสร็จในปีจอ

ฮอยอัน เหลืองดี มีเสน่ห์

ใกล้กับสะพานญี่ปุ่นจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ไม่ควรพลาด นั่นก็คือสมาคมจีนกวางตุ้งที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งภายในรั้วของสมาคมจะมีทั้งวัดและอาคารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เพราะในสมัยนั้นชาวจีนกวางตุ้งที่มาค้าขายที่ฮอยอัน มีความมั่งคั่งร่ำรวย ก็ช่วยกันสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา โดยหลายๆ ชิ้นส่วนของอาคาร ก็ถูกทำขึ้นที่ประเทศจีน แล้วส่งลงเรือมาประกอบที่ฮอยอัน ทำให้มีความเป็นศิลปะแบบจีนอย่างชัดเจน

ส่วนที่เป็นไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ คือ รูปปั้นมังกรในสระน้ำที่ปั้นได้อ่อนช้อยแต่ดูแข็งแรง มีการประดับเกล็ดมังกรด้วยชิ้นกระเบื้องและแก้วอย่างงดงาม ทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้เข้ามาที่นี่มักจะใช้เวลาเดินชมและถ่ายรูปเล่นอยู่นานเลยทีเดียว

นอกจากสมาคมจีนกวางตุ้งแล้ว ยังมีสมาคมจีนฮกเกี้ยน หรือจีนฟูเจี้ยนอีกต่างหาก เพราะแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่ ทำให้มีคนจีนจากหลายมณฑลเข้ามาที่นี่ และรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนตามพื้นเพเดิม ซึ่งจีนฮกเกี้ยนเป็นสมาคมจีนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 5 สมาคมจีนในฮอยอัน โดยด้านในมีวัดศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่าวัดเทียนหาว ที่นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีความสวยงามอีกด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่า คนที่ชอบถ่ายภาพไม่ควรพลาดไปวัดนี้

หลังจากเยี่ยมชมสมาคมจีนทั้งสองที่แล้ว ก็ลองหาเวลาแวะไปบ้านตระกูลเติ่นกี๋ (Tan Ky) บ้านคหบดีใจบุญผู้เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านในสมัยก่อน ซึ่งเราสามารถใช้คูปองเข้าไปชมในบ้านหลังนี้ได้ โดยด้านในก็จะเห็นการตกแต่งที่สวยงาม ด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความมีฐานะของเจ้าของบ้าน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าของบ้านนี้ ที่ชื่อว่า ลีเติ่นกี๋ ว่าเป็นเด็กกำพร้าฐานะยากจน แต่ขยันขันแข็งทำงาน จนมีฐานะร่ำรวย เป็นเจ้าของที่ดินและไร่นาจำนวนมาก แต่ท่านก็เป็นคนใจบุญสุนทาน ใครเดือดร้อนอะไรมา ท่านเศรษฐีลีเติ่นกี๋ ก็ช่วยเหลือตลอด จนแก่ตัวลงก็ยกสมบัติให้ลูก แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านท่ามกลางธรรมชาติจนสิ้นชีวิต และเมื่อชาวบ้านทราบข่าวการตายของเศรษฐีลีเติ่นกี๋ต่างก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก

ฮอยอัน เหลืองดี มีเสน่ห์

ปัจจุบันลูกหลานตระกูลเติ่นกี๋ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านนี้แล้ว จึงเปิดให้คนเข้าชมข้าวของเครื่องใช้และเรียนรู้เรื่องราวช่วงหนึ่งของเมืองท่าฮอยอัน ผ่านความเป็นอยู่ของตระกูลเติ่นกี๋

มีบ้านของตระกูลเก่าแก่อีก 2-3 ที่สำหรับคนที่สนใจ และยังมีพิพิธภัณฑ์เซรามิก พิพิธภัณฑ์การค้า พิพิธภัณฑ์พื้นเมือง ซึ่งถ้าจะเข้าชมให้ได้ครบทั้งหมดในหนึ่งวัน คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ดังนั้นคงต้องตัดสินใจเลือกไปเฉพาะสถานที่ที่เราสนใจจริงๆ เพราะต้องไม่ลืมเผื่อเวลาออกมาถ่ายรูปเล่นกับถนนและอาคารสวยๆ ด้านนอกด้วย

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ ในรายการโลก 360 องศา เช้าวันอาทิตย์นี้หลังเคารพธงชาติ ทางช่องไทยรัฐทีวี