posttoday

กินเที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์เกาหลี Trendy Gourmets Culture

16 มิถุนายน 2561

คุณไปเที่ยวกรุงโซลมาครั้งล่าสุดเมื่อไร? แล้วรู้จักสถานที่เช็กอินแห่งใหม่ของวัยรุ่นเกาหลีหรือยัง?

คุณไปเที่ยวกรุงโซลมาครั้งล่าสุดเมื่อไร? แล้วรู้จักสถานที่เช็กอินแห่งใหม่ของวัยรุ่นเกาหลีหรือยัง?

...ที่นั่นมีชื่อว่า “ซออุลโล 7017” (Seoulro 7017)

ซออุลโล 7017 เป็นสวนพฤกษศาสตร์กลางเมือง บนทางเดือนลอยฟ้า หน้าสถานีรถไฟ “โซล สเตชั่น” (Seoul Station)

ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่คนไปเที่ยวกรุงโซลจะต้องไปเช็กอิน เพราะที่นั่นน่าจะเป็นสวนลอยฟ้ากลางเมืองแห่งเดียวของโลก

เดิมทีเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเป็นสวนลอยฟ้าอย่างทุกวันนี้หรอก แต่สร้างทางยกระดับขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ต่อมาภายหลังระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปัญหาจราจรก็เบาบางลงได้บ้าง ประกอบกับทางยกระดับเริ่มเสื่อมโทรมลง รัฐบาล
ท้องถิ่นก็มีแผนจะรื้อถอนออก แต่ด้วยแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงเปลี่ยนแผนมาสร้างพื้นที่สีเขียวกลางเมืองแทน เพื่อปรับทัศนียภาพและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองให้ดีขึ้น จึงทำให้เกิดเป็นโครงการบูรณะและปรับเปลี่ยนทางยกระดับเก่าๆ ให้กลายเป็นสวนลอยฟ้าความยาวเกือบ 1 กม.อย่างทุกวันนี้

กินเที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์เกาหลี Trendy Gourmets Culture

ชื่อ ซออุลโล 7017 เกิดขึ้นจากการผสมคำว่า “ซออุล” หรือ “โซล” (ชาวต่างชาติออกเสียงคำว่าซออุลไม่ได้ จึงออกเสียว่า โซล แทน) กับคำว่า “โล” หรือ “โร” ที่เป็นการเล่นคำเกาหลี อันหมายถึง “ทางเดิน” บวกกับเลข “70” คือปี “ค.ศ. ​1970” ที่ทางยกระดับเดิมสร้างเสร็จ และเลข “17” คือปี “ค.ศ. 2017” ที่ทางยกระดับเก่าๆ ถูกคืนชีพให้กลายเป็นสวนพฤกษศาสตร์ลอยฟ้า กลางเมืองหลวง

เส้นทางเดินนี้ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่น่าเดินและสะดวกมาก เพราะนอกจากจะเชื่อมต่อกับสถานี โซลสเตชั่นแล้ว ยังเชื่อมไปถึงตลาดนัมแดมุน ตลาดเมียงดง และทางไปภูเขานัมซานได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทางเดินลอยฟ้าแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับอาคารและร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ และเอาต​์เลตขายสินค้าแบรนด์ต่างๆ อีกด้วย

ถัดจากสวนพฤกษศาสตร์ลอยฟ้า ก็ไปต่อกันที่ย่านฮงแด (Hongdae) แหล่งรวมของวัยรุ่นและฮิปสเตอร์เกาหลี

ถ้าหากใครอยากไปเห็นบรรยากาศที่มีสีสันที่สุดของย่านฮงแด ก็ควรไปถึงที่นั่น ในช่วงเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ หลัง 11 โมงเช้าเป็นต้นไป รับรองว่าจะได้เพลินตาเพลินใจอย่างแน่นอน เพราะร้านค้าแถวนั้นจะนำสินค้าทันสมัยที่อัพเดทตามสไตล์วัยรุ่นเกาหลีมาวางจำหน่ายแข่งกัน แถมร้านอาหาร ร้านกาแฟ ก็ตกแต่งแบบไม่ธรรมดากันเช่นกัน

บริเวณลานกิจกรรม และบางซอกบางมุมของถนน ก็จะเห็นกลุ่มแก๊งเด็กวัยรุ่นมาเปิดการแสดง มีการติดตั้งเครื่องเสียง มีเครื่องดนตรี และมีอุปกรณ์การแสดงเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว โดยเด็กๆ เหล่านั้นเขามีเป้าหมายเพื่อฝึกฝนฝีมือ และความกล้าแสดงออก ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์เลยทีเดียว

กินเที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์เกาหลี Trendy Gourmets Culture

และถ้าขึ้นชื่อว่าเกาหลีใต้ ก็จะต้องมีความสร้างสรรค์ในทุกด้าน ดังนั้น ความเก๋ไก๋ จึงไม่ได้มีแค่ในการแสดงและแหล่งช็อปปิ้ง แต่ยังพบเห็นได้ในทุกสถานที่และทุกกิจกรรมการท่องเที่ยว ไม่เว้นแม้แต่...ถ้ำ!!!

ถ้ำควางมยอง (Gwangmyeong cave) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสร้างสรรค์ โดยมีพื้นฐานการคิดมาจาก “Rethink - reuse-recycle” เพราะถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงงานรีไซเคิลขยะ และถ้ำนี้ก็เคยถูกปล่อยทิ้งร้างให้เปล่าประโยชน์มานาน ก่อนที่จะถูก
นำกลับมาสร้างประโยชน์ใหม่ ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างทุกวันนี้

ถ้ำควางมยอง เกิดจากการขุดอุโมงค์ลงใต้ดินเพื่อทำเหมืองแร่ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910-1945 ช่วงหนึ่งเคยอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่น จึงมีการบอกเล่ากันว่ากองทัพญี่ปุ่นขนทองคำหลายตันไปจากถ้ำนี้ ภายหลังปี ค.ศ. 1945 เหมืองแร่ปิดตัวลง ที่นี่ก็ถูกทิ้งให้เปล่าประโยชน์ จนมีแผนปรับปรุงให้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปิดบริการได้ในปี ค.ศ. 2011

แม้จะความน่าสนใจและมีความโดดเด่นทางด้านประวัติศาสตร์ แต่นักท่องเที่ยวที่มาถ้ำแห่งนี้ มักจะมาแสวงหาความเพลิดเพลินเสียมากกว่า เพราะภายในถ้ำไม่ได้จัดแสดงเป็นนิทรรศการที่ซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย หรือสามารถคาดเดาได้ง่าย แต่ภายในถ้ำกวางเมียง มีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างสร้างสรรค์และตระการตาเป็นอย่างมาก

พื้นที่ด้านใน มีทั้งนิทรรศการ ประติมากรรม อควาเรียม อุโมงค์แห่งแสง และที่เก๋ไก๋ที่สุดคือมีร้านอาหารในถ้ำ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ใช้ผักที่ปลูกในถ้ำ และมีห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้อีกด้วย

กินเที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์เกาหลี Trendy Gourmets Culture

คนเกาหลีชอบมาที่ถ้ำนี้กันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อน เพราะภายในถ้ำแห่งนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 12 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี

อันที่จริงแล้ว ถ้ำควางมยองมีความยาวถึง 7.8 กม.เลยทีเดียว แถมยังลึกลงไปใต้ดินอีกหลายร้อยเมตรอีกต่างหาก แต่พื้นที่ส่วนปลายถ้ำจมอยู่ใต้น้ำ ประกอบกับอากาศที่เบาบาง ดังนั้น จึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แค่ช่วง 2 กม.แรกเท่านั้น แม้ว่าจะฟังดูเหมือนเป็นระยะทางสั้นๆ แต่ถ้าได้ไปเดินเที่ยวจริงๆ แล้ว จะรู้สึกว่าระยะเวลา 1 วัน อาจจะยังไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำกับการเดินเที่ยวให้จุใจ

สิ่งที่น่าประทับใจอย่างหนึ่งของการที่ได้ไปเที่ยวถ้ำนี้ คือ การที่เขาสามารถสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างเนี้ยบเนียน เพราะการสาธิตการปลูกพืชในถ้ำ ก็สื่อให้เห็นว่าไม่มีอากาศเสียหรือสารพิษตกค้างอยู่ในเหมืองเก่าแห่งนี้ และยิ่งไปกว่านั้นการนำปลาแม่น้ำมาเลี้ยงในถ้ำนี้ ก็สื่อให้เห็นว่าทั้งอากาศและน้ำในถ้ำยังบริสุทธิ์และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ออกจากถ้ำกวางเมียงมาอีกประมาณ 3-4 กม. ก็มีร้านอาหารยอดนิยมชื่อ “산촌신쭈꾸미” (ป้ายชื่อร้านมีแต่ภาษาเกาหลีเท่านั้น) ซึ่งคนเกาหลีจะต้องแวะไปรับประทาน หากไปได้ไปแถวนั้น ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่โดดเดี่ยวบริเวณตีนเขา แถมค่อนข้างห่างไกลจากชุมชน แต่คนจำนวนมากก็ยังดั้นด้นกันไป จนร้านดูแน่นขนัดแทบทุกวัน เพราะว่าร้านนี้เขามีเมนูเด็ด คือ แพนเค้กที่ทำจากลูกโอ๊ก และปลาหมึกผัดน้ำพริกเกาหลีรสเด็ด

เชื่อว่าหลายคนจะไม่เคยทราบ และไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป ว่าต้นโอ๊กหน้าตาเป็นอย่างไร และผลของต้นโอ๊กนำมารับประทานได้ด้วยหรือ? ซึ่งก็คงไม่แปลกสำหรับคนไทย เพราะต้นโอ๊กไม่ได้เป็นไม้ที่เติบโตได้ในเมืองไทย แต่ถ้าใครเคยดูการ์ตูนฝรั่ง ก็อาจจะเคยเห็นภาพกระรอกชอบถือถั่วเม็ดใหญ่ๆ หน้าตาคล้ายเกาลัด ซึ่งนั่นแหละคือผลของต้นโอ๊ก

ลูกโอ๊ก ถูกนำมาบดเป็นแป้งและทำเป็นแพนเค้กสีน้ำตาลอ่อน รสชาติก็ไม่ได้จืดๆ เหมือนธัญพืชทั่วไป แต่จะมีกลิ่นเฉพาะตัว และถือว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีกรดที่ช่วยล้างโลหะหนักออกจากร่างกาย รวมทั้งบำรุงลำไส้และกระเพาะอาหาร

กินเที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์เกาหลี Trendy Gourmets Culture

นอกจากแป้งจากลูกโอ๊กจะนำมาทำเป็นแพนเค้กแล้ว ยังสามารถทำเป็นอาหารคล้ายวุ้น ที่เรียกว่า “โดโทรีมุก” (Dotori-muk) ซึ่งก็อาจจะไปทำเป็นยำ หรือใส่มาในน้ำซุปเย็น เพื่อรับประทานเป็นเครื่องเคียงก็ได้ เหมาะกับการรับประทานในช่วงหน้าร้อน

ครั้งต่อไป ถ้าได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีใต้ช่วงหน้าร้อน แนะนำว่าคุณควรแวะไปสัมผัสอากาศเย็นสบายที่ถ้ำควางมยอง จากนั้นก็แวะไปกินโดโทรีมุกในน้ำซุปเย็นๆ ที่ร้าน “산촌신쭈꾸미” และจะให้ดีกว่านั้น ควรหาโอกาสแวะไปนั่งกิน ชีแม็ค (ChiMaek) ที่ริมแม่น้ำฮันตอนเย็นๆ ด้วย เพื่อจะได้สัมผัสความเป็นเกาหลีได้หลากหลายขึ้น

ถ้าคุณไปกรุงโซลหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยไปเดินเล่นริมแม่น้ำฮันเลยสักครั้ง ถือว่าคุณไปไม่ถึงโซล เพราะริมแม่น้ำฮันมีทุกสีสันและความสนุกสนานในแบบฉบับเกาหลี พูดง่ายๆ ว่าถ้าคู่รักเกาหลีอยากได้บรรยากาศโรแมนติกก็จะไปริมแม่น้ำฮัน ถ้าครอบครัวอยากไปปิกนิกแบบสบายๆ ก็จะไปริมแม่น้ำฮาน ถ้าวัยรุ่นนัดกันไปเล่นกีฬาหรือซ้อมกิจกรรมกลางแจ้งร่วมกัน ก็จะไปที่แม่น้ำฮัน, หรือแม้แต่ใครอกหัก ก็ยังแอบไปเดินเล่นเหงาๆ ริมแม่น้ำฮัน

ส่วนนักท่องเที่ยวที่อยากล่องเรือชมบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำ รับประทานอาหารบนเรือไปด้วย ชมการแสดงไปด้วย ก็มีเรือพาเที่ยวขนาดใหญ่ไว้บริการอยู่หลายแห่งด้วยกัน หรือจะเช่าจักรยานปั่นเล่นกินลมชมวิว ก็มีไว้บริการเช่นกัน

แต่ไม่ว่ากิจกรรมจะแตกต่างกันอย่างไร คนเกาหลีส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยการทำสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน นั่นก็คือการโทรสั่งอาหารมารับประทานที่ริมแม่น้ำฮัน และเมนูยอดฮิตสำหรับคนเกาหลีก็คือชีแม็คนั่นเอง

ชีแม็ค เป็นคำผสมที่ระหว่างคำว่า “ชี (Chi)” ที่ย่อมาจาก ชิคเค่น (Chiken) ที่แปลว่า ไก่ ส่วนคำว่า “แม็ค (Meak)” เป็นคำย่อของ แม็คจู (Meakjoo) ที่แปลว่า “เบียร์” ในภาษาเกาหลี ดังนั้น ชีแม็คจึงหมายถึงไก่ทอดกับเบียร์นั่นเอง แม้ว่าจะฟังดูธรรมดาๆ แต่สิ่งนี้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของเกาหลีไปแล้ว

และชีแม็คก็ไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในเกาหลีเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงประเทศจีนอีกด้วย อันเป็นผลมาจากซีรี่ส์เกาหลีนั่นเอง

ในประเทศไทยเราก็มีการนำเอาชีแม็คเข้ามาขายด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากวัฒนธรรมไทยไม่ส่งเสริมการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ทำให้ร้านชีแม็คที่เข้ามาในไทย เน้นขายเฉพาะไก่ทอดสูตรเกาหลีเท่านั้น ถ้าใครอยากลองแบบต้นฉบับก็แนะนำให้ไปลองชิมเองที่เกาหลีใต้ และจะ
ให้ได้ทั้งรสชาติและบรรยากาศ ก็ต้องไปนั่งรับประทานที่ริมแม่น้ำฮันเท่านั้น

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ทางรายการ โลก 360 องศา วันอาทิตย์นี้ เวลา 08.00 น. ทางไทยรัฐทีวี