posttoday

‘ชิตตเว’ ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่

03 มีนาคม 2561

ทีมงานโลก 360 องศา เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ครั้งนี้เราเลือกมุ่งหน้าไปยังปลายทางใหม่ที่ไม่ไกลจากประเทศไทย

เรื่อง...ทีมงานโลก 360 องศา 

ทีมงานโลก 360 องศา เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ครั้งนี้เราเลือกมุ่งหน้าไปยังปลายทางใหม่ที่ไม่ไกลจากประเทศไทย แต่ก็นับว่ายังมีคนไทยเดินทางไปไม่มากนัก ด้วยเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ปลายทางที่ว่านั้นคือ "รัฐยะไข่" (Rakhine) 1 ใน 7 รัฐ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

สาเหตุที่เราเลือกเดินทางไปที่นี่ นั่นก็เพราะว่าที่นี่เคยเป็นรัฐอิสระที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันๆ ปี มีความรุ่งเรืองถึงขนาดกล่าวกันว่า หากไม่เปิดประตูเมืองต้อนรับแล้ว ใครก็รุกรานบ้านเมืองนี้ไม่ได้เลยทีเดียว และนำมาสู่ร่องรอยทางประวัติศาสสตร์ที่หลงเหลือให้เราได้ศึกษา รวมถึงกลายเป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้เล่าขานกันว่า ยะไข่เป็นหนึ่งในรัฐที่มีเสน่ห์และมีภูมิประเทศสวยที่สุดของเมียนมา

ถ้าดูตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แล้ว รัฐยะไข่ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของประเทศ หันหน้า เข้าหาอ่าวเบงกอล มีพรมแดนส่วนหนึ่งติดกับประเทศบังกลาเทศ ส่วนชื่อของรัฐยะไข่นั้น ออกเสียงกันหลายแบบ ถ้าตามภาษาอังกฤษ ก็คือ "รัคไคน์" (Rakhine) บ้างก็เรียกว่า อาระกัน (Aragan) ส่วนคนท้องถิ่นจะออกเสียงว่า "หร่ะ-คาย" และคนในย่างกุ้งออกเสียงว่า "หย่ะ-คัย" เป็นที่มาทำให้คนไทยเรียกว่า "ยะไข่" นั่นเอง

การเดินทางสู่รัฐยะไข่นั้น จากประเทศไทยต้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ย่างกุ้ง แล้วจากย่างกุ้งก็ต่อเครื่องบินไปลงที่ "เมือง ชิตตเว" (Sittwe) เมืองหลวงของรัฐยะไข่ ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมง หรือหากต้องการประหยัดเงินก็สามารถใช้บริการรถทัวร์จากย่างกุ้งไปยังเมืองชิตตเวได้เช่นกัน ส่วนชื่อเมืองนั้น บางคนอาจจะออกเสียงว่า "ซิด-ตะ-เว" บ้างก็ว่า "ซิด-ตะ-เว่" แต่คนท้องถิ่นออกเสียงว่า "ซิด-ตุ่ย"

‘ชิตตเว’ ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่

ด้วยเหตุผลที่ชิตตเวเป็นเมืองหลวงของรัฐยะไข่ จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า แม้จะไม่ได้ล้ำสมัยมากมายเฉกเช่นเมืองหลวงอื่นๆ แต่ก็นับว่าเป็นการผ่านด่านแรกที่สามารถ บอกต่อได้ว่าไม่ยากลำบากสำหรับคนที่ต้องการมาท่องเที่ยวรัฐนี้แต่อย่างใด โดยเฉพาะย่านที่พักกลางเมือง ใกล้ๆ หอนาฬิกา ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของชิตตเวที่ใครมาถึงแล้วเป็นต้องถ่ายภาพ เช็กอินกับจุดนี้ นับว่าสะดวกอย่างมากเลย ทีเดียว

นอกจากนี้แล้ว ชิตตเวยังเป็นเมืองท่าชายทะเล และเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลักของรัฐยะไข่ถึง 3 สาย คือ แม่น้ำกาละดาน แม่น้ำเลเมี่ยว และแม่น้ำเมยุ จึงนับเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่มีศักยภาพ และยังเป็นแหล่งประมงที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเมื่อครั้งที่อังกฤษเข้ามาปกครองนั้น ได้เลือก ชิตตเว ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ให้เป็นเมืองหลวงแทน เมียวอู เมืองหลวงเก่า และได้พัฒนาชิตตเวให้เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลที่สำคัญ โดยเป็นท่าเรือขนส่งข้าวที่ใหญ่มากของภูมิภาคในช่วงเวลานั้น และในปัจจุบันชิตตเว ก็ยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญ อีกทั้งมีแนวโน้มจะพัฒนาต่อไปอีก โดยในวันที่พวกเราเดินทางไปถึงนั้น กำลังมีการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ขนาดใหญ่ด้วยการลงทุนจากประเทศอินเดีย

‘ชิตตเว’ ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่

นอกจากจะเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าแล้ว ชิตตเวยังเป็นเมืองประมงหลักของเมียนมาอีกด้วย โดยว่ากันว่าอาหารทะเลที่เรารับประทานขณะอยู่ที่เมียนมา และอาหารทะเลที่มีขายอยู่ทั่วประเทศส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดมาจากรัฐ ยะไข่ โดยเฉพาะจากเมืองชิตตเว ดังนั้นสิ่งที่ ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางถึงที่นี่แล้ว ก็คือการ ไปสำรวจตลาดปลาและดูการประมูลปลาใน ตอนเช้า ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ประมาณตีสี่ มีวิธีการค่อนข้างสนุกและน่าสนใจ โดยเมื่อขนปลา ขึ้นจากเรือมาส่งที่ท่าแล้ว ก็เอาปลาที่ใส่ไว้เต็มตะกร้านั้น เทลงกับพื้น แล้วก็ขานราคากัน ตรงนั้น พอเคาะแล้วว่าใครเป็นผู้ประมูลได้ก็โกยกลับคืนตะกร้ายกไปส่งให้เป็นอันเสร็จ

อีกกิจกรรมหนึ่งที่ทีมงานโลก 360 องศา มีโอกาสไปชมและทึ่งกับทักษะความชำนาญเฉพาะทางเอามากๆ คือการชำแหละปลาเพื่อทำปลาแห้งของเมืองชิตตเว โดยการนำปลา ตัวใหญ่ๆ มาชำแหละด้วยมีดที่สั่งทำพิเศษ มีการเฉือนให้เป็นริ้วๆ จากนั้นก็แขวนตากให้แห้งทั้งตัว แต่ความพิเศษของการตากปลานั้นคือการแขวนเรียงกันคล้ายโคมไฟ และตอนนำไปขายก็ขายกันทั้งตัวแบบที่แขวนไว้เพื่อเป็นการรับประกันว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมอื่นปนไปกับเนื้อปลาแน่นอน

‘ชิตตเว’ ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่

จากเรื่องอาชีพ ก็ไปต่อกันเรื่องอาหารการกิน หากไปเมืองชิตตเว อาหารแนะนำคงต้องยกให้ "ยะไข่มกติ" หรือ "ขนมจีนยะไข่" นั่นเอง มีให้เลือกทั้งแบบแห้งคล้ายๆ ยำขนมจีน หรือแบบน้ำก็คล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยว คนท้องถิ่นบอก พวกเราว่า ไปยะไข่แล้วไม่ได้ชิมเมนูนี้ถือว่า พลาดมาก เพราะหากินง่าย ราคาไม่แพง คล้ายกับที่นักท่องเที่ยวถ้าไปย่างกุ้งแล้วไม่ได้ลองชิมโมฮิงก้าก็เหมือนไปไม่ถึงนั่นเอง

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือการนั่ง "ไซ้กา" หรือจักรยานรับจ้าง ซึ่งมีอยู่ทั่วเมือง และด้วยเหตุที่ซิตตุ่ยไม่ใช่เมืองที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นการเหมาไซ้กาเที่ยวรอบเมืองราวสองหมื่นจ๊าดหรือห้าร้อยบาท นั่งได้สองคน จึงเป็นเรื่องที่นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อได้ไปยังจุดสำคัญต่างๆ ของเมือง เช่น ตลาดกลางเมืองที่มีของทุกสิ่งอันให้เลือกซื้อหา ชนิดที่ว่านักท่องเที่ยวมาตัวเปล่ามาหาเอาที่นี่ได้หมด

ที่พลาดไม่ได้คือ "วัดพญาจี" (Atula Marazein Country Peace Great Image) ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวชิตตเว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐยะไข่ ซึ่งเกิดจากการรวมทุนทรัพย์ของชาวบ้านที่ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อแปลเป็นภาษาไทยก็น่าจะหมายถึง "หลวงพ่อโต" และนับเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนความสามัคคี และความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของชาวยะไข่ได้อย่างชัดเจน

‘ชิตตเว’ ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่

อีกสถานที่คือ "เจดีย์โลก๊ะนันดะ" (Lawkar Nanda Pagoda) ซึ่งรัฐบาลสร้างขึ้นโดย จำลองมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองแห่งย่างกุ้ง โดยในบริเวณใกล้ๆ กัน ยังเป็นที่ประดิษฐาน หนึ่งในพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ คือ พระสัจจะมุนี (Sakkramuni) ซึ่งอัญเชิญมา จากเมียวอูเมืองหลวงเก่า ความพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้คือจะมีรูปสลักของพระองค์เล็กๆ อยู่รอบองค์นับรวมกันได้ถึง 1,162 องค์

ส่วนใครที่อยากเห็นสีสันชีวิตชีวาของ ชิตตเว แนะนำให้หาเวลาแวะไปที่ "ชิตตเวบีช" ชมพระอาทิตย์ตกที่นั่น รับรองได้ว่าไม่ผิดหวัง และถ้าอยากสัมผัส "ชิตตเว ยอดเมืองท่าแห่งยะไข่" แบบจัดเต็มแล้วละก็ติดตามชมได้ ในรายการโลก 360 องศา ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 เช้าวันอาทิตย์ เวลา 08.00-08.30 น. ส่วนแฟนรายการโลก 360 องศา สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ของรายการโลก 360 องศา และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube