posttoday

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น (จบ)

24 ธันวาคม 2560

ตื่นเช้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง เฮ้ย!ทำไมสวยอย่างนี้ ตรงข้ามโรงแรมมีทะเลสาบเล็กๆ หมอกจางๆ ลอยขึ้นจากผิวน้ำ

ตื่นเช้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง เฮ้ย!ทำไมสวยอย่างนี้ ตรงข้ามโรงแรมมีทะเลสาบเล็กๆ หมอกจางๆ ลอยขึ้นจากผิวน้ำดูโรแมนติกไปอีกแบบ อาบน้ำเสร็จลงไปห้องอาหารเลือกนั่งข้างกระจกที่มองเห็นวิวด้านนอกชัดเจน  ละเลียดอาหารเช้าแบบไม่เร่งรีบกับวิวสวยถือเป็นความสุนทรีย์อย่างที่สุดของทริปนี้ กินข้าวเสร็จเช็กเอาต์เรียบร้อยแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ วันนี้เราจะขึ้นกระเช้าไปชมวิวกันครับ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า  Central Alps Komagatake Ropeway เป็นกระเช้าไฟฟ้าขึ้นเขาแห่งแรกของญี่ปุ่น มีบริษัท Chuo Alps Kanko เป็นผู้ได้รับสัมปทานมาตั้งแต่ปี 1967 ให้บริการมาแล้วกว่า 50 ปี เราไปยืนรอรถเมล์ที่หน้าโรงแรม เพราะรถบัสนักท่องเที่ยวทั่วไปไม่อนุญาตให้ขึ้น เนื่องจากเส้นทางคดเคี้ยวและมีบางช่วงที่คับขันมุมเลี้ยวหักศอก

ถ้าไม่ชำนาญเส้นทางก็ต้องขับด้วยความระมัดระวังอย่างมาก อย่ากระนั้นเลยปล่อยให้คนชำนาญเส้นทางเขารับหน้าที่ดีกว่า เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด รถประจำทางพาเรามาถึงยังสถานีกระเช้าไฟฟ้า Komagatake  มีกระเช้ารุ่นแรกให้ชมอยู่ด้านหน้า ห้องน้ำห้องท่าสะอาดสะอ้าน หลังจากเข้าคิวรอไม่นาน กระเช้าบรรจุผู้โดยสารขนาด 60 คน ก็นำเราขึ้นไปส่งยังสถานีปลายทาง Senjojiki บนความสูง 2,612 เมตร โดยใช้เวลาแค่ 8 นาที แต่เป็น 8 นาที ที่ตื่นตาน่าประทับใจ ด้วยระดับความสูงจากสถานีล่างสุด 950 เมตร

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น (จบ)

จนถึงบนสุดซึ่งมีความห่างกันถึง 1,000 เมตร จึงทำให้พืชพันธุ์มีความแตกต่างกันตามลำดับความสูง ทัศนียภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเส้นทาง ทำให้โรปเวย์แห่งนี้มีความพิเศษกว่าที่อื่น แถมยังมีดีกรีถึง 3 ตำแหน่ง  คือ โรปเวย์ที่มีระดับความสูงแตกต่างมากที่สุดในญี่ปุ่น โรปเวย์แห่งแรกของญี่ปุ่น และเนื่องจากเป็นโรปเวย์ที่อยู่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ก็เลยได้ชื่อว่าอยู่ใกล้กับจักรวาลมากที่สุดในญี่ปุ่น แหม่! เข้าใจคิดจริงๆ

เมื่อออกจากสถานีก็สามารถเดินไปสำรวจทัศนียภาพของหุบเขาเซนโจจิกิ (Senjojiki Cirque) ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะอันเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งเมื่อ 2 หมื่นปีที่แล้ว จนเกิดเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ คำว่า เซนโจจิกิ ที่แปลว่า เสื่อทาทามิ 1,000 ผืน คือ การเรียกเปรียบเปรยพื้นที่กว้างใหญ่ของแอ่งกระทะที่อุดมไปด้วยไม้ป่านานาพันธุ์ และจากตัวสถานีก็ยังสามารถเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อขึ้นไปยังยอดเขาโคมางะตาเกะที่มีความสูง 2,956 เมตร ได้อีกด้วย บนนี้สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น (จบ)

ในหน้าร้อนหุบเขาจะอุดมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้แซมด้วยสีสันของดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งปกคลุมไปทั่วทุ่งเซนโจจิกิ และด้วยอุณหภูมิที่เย็นสบายกว่าในเมือง จึงมีผู้คนขึ้นมาเที่ยวและพักค้างแรมที่นี่กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง พอถึงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากยอดเขาลงไปจนกลายเป็นสีส้มเหลืองแดงทั่วทั้งหุบเขาตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.ไปจนถึงต้นเดือน พ.ย. ถือเป็นช่วงพีกที่สุดของที่นี่ และเมื่อถึงเดือน ธ.ค.หิมะก็เริ่มโปรยปรายจนปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขาและจะยังคงอยู่ไปจนถึงปลายเดือน พ.ค.ต่อต้นเดือน มิ.ย. สำหรับคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติอย่างหนำใจ

ขอแนะนำให้พักค้างบนนี้เลย ทางบริษัท Chuo Alps Kanko เขาสร้างโรงแรมชื่อเดียวกับสถานี Senjojiki  เป็นโรงแรมขนาดเพียง 16 ห้อง มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัวแค่ 2 ห้อง ที่เหลือต้องไปใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวม เพราะถึงแม้ว่าทางโรงแรมจะสามารถขุดน้ำจากใต้ภูเขาขึ้นมาใช้ได้ก็จริง และหิมะที่ทับถมมาตลอดครึ่งปีจะละลายลงไปมากกว่าที่ขุดขึ้นมาใช้ก็ตาม แต่ก็ไม่อยากให้ใช้กันอย่างสิ้นเปลืองและไม่อยากสร้างมลภาวะมากจนเกินควร คิดดีทำดีแบบนี้สมควรปรบมือดังๆ ให้ครับ ของดีของเด่นสำหรับคนที่ไม่ได้พักค้างแรมต้องมาลอง คือ กาแฟร้อนที่ใช้น้ำแร่จากกลางเทือกเขาแอลป์ ส่วนท่านที่พำนักที่นี่ก็สามารถสร้างสถิติให้กับตัวเองว่ามานอนโรงแรมที่อยู่สูงที่สุดและใกล้กับดวงดาวมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นดาวได้ชัดเจนกว่าข้างล่างที่ผมดูเมื่อคืนอย่างแน่นอน เพราะบนนี้มืดสนิทกว่ามาก

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น (จบ)

เดินเที่ยวชมกันจนทั่วแล้วก็ได้เวลาลงจากเขา ระหว่างลงเจ้าภาพถามว่าอยากไปดูน้ำตกมั้ย ถามยั่วมาแบบนี้มีหรือที่จะปฏิเสธ เส้นทางอยู่ข้างสถานีด้านล่าง เดินเลียบเลาะลำธารขึ้นไป เส้นทางไม่ได้เรียบง่ายเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขา มองเห็นกระเช้าข้ามหัวไป ต้นไม้สองข้างทางยังหลงเหลือสีแดงเหลืองส้มอยู่บ้าง ความเหนื่อยยากจากการเดินหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นภาพน้ำตกที่สวยงามเบื้องหน้า บ้านเรามีน้ำตกที่สวยกว่านี้เยอะหากแต่ไม่มีใบไม้แดงมาแต่งแต้มสีสันให้งดงามเหมือนที่นี่ ชมน้ำตกเสร็จนั่งรถบัสลงจากเขา ระหว่างทางเจอฝูงลิงเจ้าถิ่นเดินป้วนเปี้ยนเป็นระยะ คนขับคงคุ้นเคยจึงขับชะลอเปิดโอกาสให้เราได้ชมและถ่ายภาพอย่างใกล้ชิดไปด้วยในตัว รถบัสมาส่งเราที่จุดเดิมหน้าโรงแรม หลังจากเข้าห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปร้านอาหาร

เที่ยงนี้เราไปกินข้าวกันที่ร้าน Nana Chan เป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่มีจุดเด่นตรงที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุง และทั้งแม่ครัวตลอดจนพนักงานทุกตำแหน่งในร้านล้วนแล้วแต่เป็นคุณแม่บ้านทั้งสิ้น คุณแม่บ้านของเมืองนี้ลงแรงมาช่วยกันทำร้านอาหารร้านนี้ให้คนในชุมชนได้ชิมกัน รสชาติอาหารในร้านจึงเหมือนรสมือแม่ ให้ความอร่อยแบบบ้านๆ และให้บรรยากาศของความคิดคำนึงถึง ปัจจุบันมีร้านแบบนี้เปิดมากขึ้นเพราะได้รับความนิยม อย่างร้านนานะจังนี่นอกจากคนในท้องถิ่นมากินกันจนแน่นแล้ว คนจากชุมชนอื่นก็แวะเวียนมากินด้วยเช่นกัน เพราะทั้งอร่อยและราคาไม่แพง อาหารก็หลากหลายทั้งคาวหวานครบ เท่าที่เห็นในร้านส่วนมากจะเป็นสุภาพสตรีทุกวัย บางโต๊ะก็มีเด็กๆ มาด้วย ดูเหมือนมางานปาร์ตี้คนแถวบ้านมากกว่าจะดูเป็นร้านอาหารครับ หลังอาหารเราแวะเที่ยวชมโรงกลั่นวิสกี้ยี่ห้อ Mars ซึ่งใช้น้ำจากหิมะละลายของเทือกเขาแอลป์ตอนกลาง

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น (จบ)

ผมลองซื้อไปให้ผู้นิยมสุราลองชิม ได้รับการยืนยันว่ารสชาติไม่เป็นรองแบรนด์ดังอย่าง Nikka หรือ Yamazaki และปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชมวัดโคเซนจิ หนึ่งในวัดเก่าแก่ของจังหวัดนากาโนะ ก่อนเดินทางสู่เมืองนาโกย่าเพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย เป็นทริปที่น่าประทับใจเพราะใหม่สด นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ค่อยมา ที่สำคัญ ดาวสวยมาก ทริปนี้แค่ได้มานอนดูดาวเต็มตาเต็มท้องฟ้าก็คุ้มแล้วครับ