หลงป่าเฉียดตาย ภูเรือไม่เคยลืม
แม้จะเคยหลงป่าจนเกือบตาย แต่เขาก็ยัง “หลง” ป่าอยู่เช่นเดิมเรื่องราวเพียง 1 วันของ สาโรจน์ ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ สาโรจน์ ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา
แม้จะเคยหลงป่าจนเกือบตาย แต่เขาก็ยัง “หลง” ป่าอยู่เช่นเดิมเรื่องราวเพียง 1 วันของ สาโรจน์ ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา ที่มอบประสบการณ์การเดินป่าครั้งสำคัญในชีวิต
ไม่ฟังฝน
ตอนนั้นปลาย พ.ย. 2539 พิรุณพิโรธโหมห่าฝนถล่มหล่มสัก สาโรจน์นั่งรถทัวร์มาจากกรุงเทพฯ สู่ จ.เลย พร้อมภารกิจสำคัญ “ถ่ายดอกไม้ในป่าภูเรือ”
ตอนนั้นนักเดินป่าอย่างเขารู้ดีว่าการเดินป่ากลางสายฝนไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เขาไม่สามารถหยุดได้ เพราะอาชีพช่างภาพอิสระเมื่อรับงานมาแล้วต้องทำให้ลุล่วง เมื่อรถทัวร์จอดที่ จ.เลย เงยหน้ามองสายฝนก็ยังไม่ห่างเม็ด เขาตัดสินใจเดินเข้าร้านขายไก่ย่าง ไม่ใช่เพื่อกินแต่เพื่อหารถไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเรือ
“จะเอาแผนที่ไปทำอะไร” เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ถามย้ำอีกครั้งเชิงเตือนสติ ชายสะพายเป้คล้องกล้องกำแผนที่ยังยืนยัน “เดินป่าครับ” ตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่แนะนำให้เดินป่ายามฝนตกอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนั้นฝนหนักมากกว่าปกติยิ่งต้องห้าม แต่ในท้ายที่สุด “เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าอยากจะเดินก็ตามใจ แต่มันจะลำบากหน่อย” สาโรจน์จึงลงชื่อในสมุดบันทึก อย่างน้อยหากเขาไม่ออกมา เจ้าหน้าที่จะได้เข้าไปตาม
ตกน้ำตก
เส้นทางที่วางไว้คือ ขึ้นไปสู่ยอดภูเรือ เดินลงมาตามน้ำตกจนถึงน้ำตกห้วยไผ่ที่อยู่ข้างล่าง ระยะทางประมาณ 4.5 กม. “ตอนนั้นคิดว่าเราเดินได้” เขากล่าว “คิดว่าเราน่าจะรอดเพราะฝนมันคงไม่ตกยาว” เขาจึงเริ่มเดิน แม้ก้าวต่อไปจะเห็นเป็นม่านฝนสีขาวแทบมองไม่เห็นทาง
คำว่าลำบากหน่อยของเจ้าหน้าที่เริ่มไม่ใช่ เพราะพอเจอเข้าจริงมันลำบากมากกว่านั้น แต่เขายังไม่หวั่น ยังคงเดินไปถ่ายรูปไป ในใจของช่างภาพกลับคิดว่า ภาพดอกไม้เลอะน้ำฝนกลางป่าสนช่างสวยงาม
เขาถ่ายรูปไปเรื่อยจนถึงน้ำตกแรก เขาเคยเดินป่าภูเรือมาแล้วมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าน้ำตกแห่งนี้ระดับเลยตาตุ่มขึ้นมาไม่กี่เซ็น แต่วันนั้นระดับน้ำเกือบถึงหัวเข่าและไหลเชี่ยว “ด้วยความที่ช่างภาพมันชอบเอาชนะ มันจะหยุดถ่ายแค่ริมๆ ลงไปตรงกลางลำธารนั่นเลย” เขายังจำได้ทุกฉากเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“สมัยก่อนถ่ายฟิล์ม เดินไปกลางลำธาร ตั้งขาตั้งกล้องถ่ายไปเรื่อย เปลี่ยนมุมไปเรื่อย ปรากฏว่าฟิล์มหมด เราก็วางของตั้งกล้องไว้ตรงนั้นด้วยคิดว่าเลนส์กับกล้องมันหนักพอที่จะตั้งอยู่ เราก็เดินขึ้นฝั่งไปหยิบฟิล์มใหม่มา พอกำลังจะเปลี่ยน ลื่น! มือก็คว้ากล้องตามสัญชาตญาณ กล้องก็ล้ม เราก็ล้มด้วย กล้องมันก็ลอยไปติดตลิ่งแต่ตัวเรามันไปไม่ได้ มันหมุนและไหลไปกับลำธาร โชคดีที่เราไปคว้ากิ่งไม้ไว้ไม่งั้นคงตกเหวที่ปลายลำธาร”
วิญญาณช่างภาพยังไม่หนีไปไหน พอคว้ากิ่งไม้และพาตัวเองขึ้นสู่ฝั่งได้จึงรีบกู้กล้องแต่ปรากฏว่า “ตายสนิท” เขาหอบอุปกรณ์ทั้งหมดไปนั่งใต้ต้นไม้พร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาฉับพลัน “กูมาทำอะไร” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง “เราเริ่มกลัว ปกติสมัยก่อนเราจะบุกเดี่ยวตลอด ไม่สนอะไร แต่ตอนนั้นมันคิดเลยว่าจะรอดไหม นี่มันแค่ครึ่งทางเอง” และเขาก็ตัดสินใจ “กลับ” เพราะรูปที่ถ่ายมาก็น่าจะพอให้เขียนสกู๊ปท่องเที่ยวตามที่รับงานมาแล้ว
ฝ่าลำธาร
แต่ทางกลับของเขาไม่ใช่ทางเดิมที่เดินมาเพราะหากหันหลังกลับมันคือทางขึ้นเขา สาโรจน์เดินหน้าต่อไปตามทางน้ำตกจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปิดมีแสงแดดอ่อนๆ ส่องลงมา เขารีบถอดเลนส์ออกจากกล้องแล้วนำไปตากแดด พอลองกดชัตเตอร์อีกครั้งมันกลับใช้ได้ “ตอนนั้นเริ่มมีใจขึ้นมานิดนึง” เขากล่าว “เราก็กลับมาถ่ายรูป แต่ว่าถ่ายไปสักพัก กล้องมันก็กลับมาใช้ไม่ได้อีก คราวนี้บอกกับตัวเองเลยว่า “เลิก” เก็บกล้องใส่กระเป๋าและเดินลงเขาต่อไป
ฝนตกพรำ เขาเดินย่ำดินแฉะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหตุการณ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้งเมื่อเจอลำธาร “ปกติเดินข้ามง่ายมาก แต่วันนั้นมันคือน้ำไหลบ่าลงจากภูเขา จากธารน้ำเล็กๆ กลายเป็นธารที่กว้างมาก เชี่ยวแบบไม่มีทางจะข้ามได้” ปัญหาใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาจึงเริ่มไตร่ตรอง เขาเดินมา 3 กม. และนี่เป็นทางเดียวที่ต้องไป
คิดไปคิดมาเหลือบไปเห็นเถาวัลย์ วิชาเอาชีวิตรอดในป่าจุดประกายขึ้นมาทันที “ตัดเถาวัลย์” เขาเริ่มเล่าขั้นตอน “ดึงดูว่ามันแข็งแรงหรือเปล่า แล้วลากมันลงไปในน้ำ จับให้แน่น ปรากฏว่าข้ามไปได้ครึ่งทาง ระดับน้ำไม่ลึก มั่นใจว่าข้ามได้ก็เดินมาหยิบขาตั้งกล้องไปอีกฝั่งหนึ่ง รอบแรกสำเร็จ เดินกลับมาหยิบกระเป๋ากล้องต่อก็ทำได้สำเร็จ” ด่านนี้เขาผ่านไปได้ทั้งที่คิดว่าไม่มีทางทำได้แล้ว
ด้วยความมั่นใจหลังรอดมาได้ก็ฮึกเหิมยังไม่ยอมเดินต่อไปที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่กิโลฯ แต่ตัดสินใจเดินไปน้ำตกห้วยไผ่เพราะมันคือน้ำตกที่สวยงาม ปรากฏว่า “หลง”
หลงป่า
“แผนที่เละไปตั้งแต่ลื่นน้ำตกครั้งแรกแล้ว” เขาหัวเราะในโชคชะตา ตอนนั้นฝนตกหนักมากทำให้ป้ายบอกทางล้ม เขาก็เดินไปเรื่อย “จากประสบการณ์เราพอรู้เส้นทางอยู่บ้างว่าทางลงขวาคือไปห้วยไผ่ ทางลงซ้ายไปที่ทำการอุทยานฯ แต่ตอนนั้นเรามองไม่เห็นทางจึงเดินตรง พอเดินไปๆ ป่าเริ่มบางจนไปถึงขอบภูเขา ข้างหน้าคือทิวทัศน์ของทุ่งนาและไร่ข้าวโพด ตอนนั้นรู้ทันทีเลยว่าผิดทางและผิดไกลมาก ก็ต้องเดินย้อนกลับไป”
แต่แทนที่จะกลับไปที่ทำการอุทยานฯ เขาเลือกที่จะไปน้ำตกห้วยไผ่ต่อ เมื่อได้เห็นสมใจ (กล้องพังไปแล้ว) ถึงเดินกลับที่ทำการอุทยานฯ
รถยนต์จากร้านไก่ย่างมารับตามที่นัดไว้ แต่เขากลับจากภูเรือไม่ได้เพราะไม่มีรถทัวร์ จึงต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่หล่มสักซึ่งในตอนนั้นน้ำท่วมถึงเอว “นี่มันยังไม่จบอีกหรือ” เขาถามโชคชะตา และวันนั้นก็จบลงด้วยความหนาวสั่นกลับกรุงเทพฯ
ฟ้าหลังฝน
หนึ่งวันในวันนั้นเขาจำได้ดีทุกนาทีที่เกิดขึ้น จำเสื้อผ้าได้ จำกล้องได้ จำป่าในวันนั้นได้ จำได้ว่าลื่นไปเกือบ 10 ครั้ง จำความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ และไม่เคยลืมความชะล่าใจที่เกือบทำให้ไม่รอด
“ปกตินักท่องเที่ยวทั่วไปเขาไม่เดินภูเรือแค่วันเดียว” เขากล่าว “แต่เพราะเราเป็นฟรีแลนซ์จะใช้เงินมากไม่ได้ หากค้างคืนต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ และโจทย์ที่ลูกค้าให้มาต้องการแค่ดอกไม้กับลำธาร ไม่ต้องการทะเลดาวหรือหมอกที่มันต้องรอเวลา” เขายังกล่าวด้วยว่าการเดินทางครั้งนั้นเขาไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศใดๆ มาเลย เพราะคิดอย่างเดียวว่าต้องทำงานให้เสร็จตามเวลา
“เราไม่คาดคิดว่าฝนจะตกหนักขนาดนั้น แต่ด้วยอาชีพเรา เราถอยไม่ได้” อย่างไรก็ตามทุกวันนี้สาโรจน์ก็ยังรักภูเรือ พอมีใครพูดถึงภูเรือเหตุการณ์นี้ก็จะกลับมาทุกครั้ง
ถามว่า “ไม่กลัวตายหรือ” เขาตอบ “ไม่เคยคิดเรื่องนี้ ณ ตอนนั้น แต่พอกลับมาคิดย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่ามันน่ากลัวมาก”
เขายังกล่าวถึงแบ็กแพ็กเกอร์ที่ชอบเดินทางคนเดียวเที่ยวในเมืองไทยว่าควรหาเพื่อนร่วมทางไปด้วย เพราะเมืองไทยยังไม่ปลอดภัยในแง่ของคน รถ และความช่วยเหลือ โดยเฉพาะช่างภาพที่พกกล้องติดตัวไปด้วยอย่างเขา ควรมีเพื่อนเดินทางไปด้วย อย่างน้อยเวลาเข้าห้องน้ำก็ยังมีคนเฝ้าของให้ หรือเวลาเกิดปัญหาจะได้ช่วยกันแก้ไข
“อย่างตัวเองนี่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ถ้าไปสองคนยังสามารถช่วยกันได้มากกว่านี้ เช่นวิธีข้ามลำธารด้วยเถาวัลย์อาจจะมีวิธีที่ดีและปลอดภัยกว่าถ้ามีเพื่อนช่วยอีกแรง หรือเวลาเจอทางแยก ถ้าไปคนเดียวก็ต้องลองทั้งสองทาง”
เขายอมรับว่าการเดินป่าในครั้งนั้น “ยากที่สุดในชีวิต” แม้ว่าเขาจะเคยหลงป่ามาก่อน เดินป่าในสภาพแวดล้อมโหดร้ายมามาก แต่ไม่เคยเจอทั้งหลงและโหดร้ายพร้อมๆ กันเช่นนั้น
นอกจากนี้ จากประสบการณ์การเดินป่าอย่างโชกโชน เขาแนะนำว่าให้ไปเดินป่าในอุทยานแห่งชาติ แสดงตัวให้เจ้าหน้าที่เห็น ลงชื่อบันทึกไว้ว่าเข้าไปกี่โมง ไปกี่คน เพราะหากเราไม่ออกมา ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตาม ก่อนเดินป่าต้องศึกษาแผนที่ให้ละเอียดและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ถ้าหลงป่าจริงสิ่งที่ต้องทำคือก่อกองไฟเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ตำแหน่ง ถ้าอยู่ในสถานการณ์ฝนตกอย่างเขาให้แกะเปลือกไม้ออกเพราะข้างในยังใช้ได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือไฟแช็กและมีดฟันฟืน
ประสบพบประสบการณ์
จากวันนั้นมันกลายเป็นประสบการณ์ที่ดี “ไม่ถึงกับเข็ด” เขาว่า “แต่เริ่มรู้สึกไม่อยากเดินเดี่ยว ถ้าเดี่ยวก็จะไม่เดินทางยาก เพราะป่าคือป่า แค่ออกนอกเส้นทางมาถ่ายรูปแค่ 5 นาที มองกลับมาอีกทีก็ไม่รู้แล้วว่าทางเดินอยู่ไหน ถ้าไม่ทำมาร์กกิ้งตามต้นไม้” ถามเขาว่าจนถึงวันนี้พิชิตไปกี่ยอดภูกี่ผืนป่าแล้ว เขาตอบได้สมเป็นนักเดินป่าตัวจริงว่า “เหลือไม่กี่ป่า ที่เคยเดินมา เช่น ฮาบาบารา ภูหินร่องกล้า ภูกระดึง ภูหลวง และอีกมากมาย”
ในช่วงชีวิตหนึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่ในป่าตลอด 1 ปี เพราะต้องเข้าไปเก็บข้อมูลให้ทางบริษัททัวร์ เขายกตัวอย่าง ป่าต้นน้ำเพชรที่ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลเรื่องผีเสื้อและพันธุ์ไม้
ป่าต้นน้ำเพชรคือป่าตะนาวศรีที่ติดกับพม่า ต้องเดินป่าและพายเรือต่อ 3 วัน เป็นป่าดิบแท้ปกคลุมร่องน้ำ มีความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ป่า มีสุสานช้าง และเป็นผืนป่าที่พบสัตว์ป่ามากที่สุด เขาเล่าประสบการณ์
“ป่าดิบอย่างต้นน้ำเพชรแค่ห้าโมงเย็นก็ค่ำแล้ว ตอนนั้นเราพายเรือมีเพื่อนอีกสามคนรวมเป็นสี่พาย เห็นแล้วว่ามีช้างโขลงใหญ่อยู่ในป่า เวลาเจอช้างต้นน้ำเพชรอย่าปะทะเพราะมันเป็นช้างที่ดุมาก มันห่วงถิ่น ที่เครียดคือพวกมันกำลังเดินมาที่แม่น้ำ ตอนนั้นทุกคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย พยักหน้าหนึ่งที และจ้ำพายไม่คิดชีวิต ขณะเดียวกันเมื่อช้างเห็น พวกมันก็รีบวิ่งมาเลยทั้งโขลง ร้องแปร๊นๆๆ วิ่งกรูกันมา โชคดีที่พายผ่านไปก่อนพวกมันถึงแม่น้ำไม่กี่วินาที ไม่เช่นนั้นถ้าปะทะคงไม่รอด”
นอกจากนี้ยังได้เจอหมี จระเข้ตีนเป็ด เสือ แต่โดยทั่วไปตามธรรมชาติของสัตว์ป่าจะไม่เลือกที่จะปะทะ ยกเว้นช้างที่จะไม่หลีกสัตว์ต่างถิ่นเพราะมีความห่วงบ้าน&O5532; คุณธรรมชาติ
เขาเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายในป่า มันสะท้อนให้เห็นคุณค่าของทุกสรรพสิ่ง เขายกตัวอย่างน้ำประปาก็มีที่มาจากป่านั่นเอง “เวลาเราเดินจากตาน้ำไล่ลงมา เราจะเห็นแขนงของน้ำจากสายเล็กๆ รวมกันเป็นสายใหญ่ขึ้น” เขากล่าว
“ธรรมชาติทำให้เราเห็นการเจริญเติบโตตั้งแต่การเกิดของต้นน้ำ หรือพวกสัตว์ตั้งแต่แมลงจนถึงสัตว์ผู้ล่า เราได้เห็นวัฏจักรของชีวิต เห็นว่ามันล่ากันยังไงและเกื้อกูลกันยังไง บางคนเห็นเสือล่ากวางแล้วสงสาร นั่นคือวัฏจักรเพราะถ้ากวางมากไปสภาพป่าก็จะเปลี่ยน มันเป็นการควบคุมระบบนิเวศตามธรรมชาติ” ส่วนมนุษย์อยู่นอกเหนือวัฏจักรของป่าไม้
เวลาเข้าป่ามนุษย์คือตัวประหลาด ดังนั้นสิ่งที่ผู้บุกรุกควรทำคืออะไร เขายกตัวอย่าง เสื้อผ้าเดินป่าควรใช้สีที่เคารพธรรมชาติเช่นสีเทาสีเขียว เพราะถ้าใส่สีแดงสีฟ้าสัตว์จะรู้ทันทีว่าสิ่งแปลกปลอม พวกมันอาจจะเปลี่ยนที่หากิน แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการรบกวนแล้ว
เวลาเดินป่าจะต้องเข้าใจก่อนว่า เราเข้าไปทำอะไร ไปดูอะไร บางคนเข้าป่าไปเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือดูทะเลหมอก แต่เขาไม่ขอเรียกว่าการดูป่า “ถ้าไปดูพระอาทิตย์มันไม่ใช่ดูป่าที่เรายืนอยู่ เพราะผืนดินที่เราเหยียบอยู่คุณกลับไม่รู้เรื่องเลย”
การเดินป่าสำหรับเขาไม่ใช่เพื่อความท้าทายเท่านั้น แต่เขาไปเพราะอยากสัมผัสป่า “ถ้ามองในความละเอียดอ่อนของมัน เราจะซาบซึ้งในความเป็นป่า ป่ามีอะไรให้เราถ่ายภาพอยู่เสมอ” เขาเคยเจอคำถามว่าทำไมถึงไม่ไปทะเล เขาให้คำตอบว่าโลกของทะเลมันคือโลกใต้น้ำ ไม่ใช่โลกบนผิวน้ำ
ทุกครั้งที่เขาก้าวเดินความคิดในหัวจะคิดตลอดว่า ไปข้างหน้าจะเจออะไร แม้ในเส้นทางที่เคยเดินแล้วเขาก็ยังตื่นเต้นทุกทีเพราะป่ามันไม่มีวันเหมือนเดิม
เขายังกล่าวด้วยว่าหากมนุษย์รู้จักนำวิถีแห่งป่ามาใช้คำว่าโลกร้อนจะไม่เกิดขึ้น เขาเล่าประสบการณ์เมื่อครั้งไปเจอปะเกอกะเญอที่สวนสนวัดจันทร์ จ.เชียงใหม่ คนที่นั่นจะตัดสายสะดือเด็กไปฝังใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นต้นไม้ประจำครอบครัว เพราะฉะนั้นคนปะเกอกะเญอจะไม่ตัดต้นไม้ เพราะต้นไม้คือผู้ที่ให้ความเจริญเติบโต ให้ร่มเงา และเป็นที่ที่ฝัง “รกราก” สำหรับเขาความหมายของคำนี้คือแบบนี้
ตอนนี้สาโรจน์อายุเข้าสู่เลข 5 ตอนปลายแล้ว ถ้าเป็นไปได้ในช่วงชีวิตที่มีอยู่เขาอยากอยู่กับป่า “อยู่ริมๆ ก็ได้แต่ขอให้ได้กลิ่น ขอให้ได้เห็น เราอาจไม่ได้เข้าไปสร้างป่าในป่าลึกเพราะความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่พื้นที่ป่าเป็นป่าสงวนหรือพื้นที่อุทยานแห่งชาติเกือบหมดแล้ว” เขายังคงรักป่าและยังอยากอยู่กับป่าแม้ว่ามันจะมอบประสบการณ์เกือบตายให้เขามากกว่า 1 ครั้ง
“เราอยู่กับป่ามาจนรู้สึกว่ามีทั้งความกล้าและความกลัว แต่เราต้องใช้ทั้งสองอย่างผสมกันเพื่อทำให้ตัวเองอยู่รอด” ตอนนี้เขาได้อุทิศชีวิตให้ป่าในแบบของตัวเองผ่านงานเขียน ผ่านภาพถ่าย และการให้เกียรติป่าไม้ทุกครั้งที่ก้าวเดิน