posttoday

5 ความเชื่อเรื่องเซ็กส์แปลกๆ ที่ทุกคนต้องอึ้ง

31 พฤษภาคม 2559

คิดดูสิ ย้อนไปเมื่อปี 1800s นักปราชญ์หลายคน เขาไม่คิดว่า ผู้หญิงอย่างเราจะฟินได้เวลามีเซ็กส์ หรือพวกเขายังเชื่ออีกว่าสาวคนไหนที่มีการศึกษาสูงๆ จะส่งผลทำลายน้องจิ๊ของเราได้… ความเชื่อเกี่ยวกับส่วนล่างของร่างกายผู้หญิง ที่หลายคนคิดกันไปแปลกๆ แบบไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครคิดขึ้นมาได้ เรารวมไว้ให้แล้ว!

คิดดูสิ ย้อนไปเมื่อปี 1800s นักปราชญ์หลายคน เขาไม่คิดว่า ผู้หญิงอย่างเราจะฟินได้เวลามีเซ็กส์ หรือพวกเขายังเชื่ออีกว่าสาวคนไหนที่มีการศึกษาสูงๆ จะส่งผลทำลายน้องจิ๊ของเราได้… ความเชื่อเกี่ยวกับส่วนล่างของร่างกายผู้หญิง ที่หลายคนคิดกันไปแปลกๆ แบบไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครคิดขึ้นมาได้ เรารวมไว้ให้แล้ว!

มีฟันอันแหลมคม ซ่อนอยู่ในช่องคลอดของเรา!

กรอกตาแรงๆ ได้เลย แต่เมื่อยุคโบร๊าณโบราณนานมาแล้ว หลายที่ตั้งแต่รัสเซียถึงอินเดีย หรือจะญี่ปุ่น พวกเขาเชื่อว่า ผู้ชายไม่สามารถมีเซ็กส์กับภรรยาตัวเองได้ เพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นหมัน ชายผู้กล้าสุดๆ เท่านั้นที่จะสามารถเอาฟันในช่องคลอดของผู้หญิงออกไปได้ เพื่อทำให้ช่วงล่างของผู้หญิงเชื่อง และสามารถมีเซ็กส์กับเราได้ตามปกติ….

จนถึงวันนี้ ถ้าใครลองกูเกิ้ล Vagina With Teeth ก็จะเห็นบทความมากมายเกี่ยวกับ ความเชื่อว่ามีฟันอยู่ในช่องคลอดของเรานี่! จนเคยมีคนทำหนังเกี่ยวกับความแปลกของช่องคลอดนี้ออกมาในปี 2007 เรื่อง Teeth

ขอย้ำอีกที ว่าช่องคลอดของเราไม่มีฟัน มันไม่สามารถกัดอะไรขาดได้ และจะไม่ทำอันตรายน้องจุ๊ของผู้เราหรอกเนอะ

มดลูกของเรา ขยับไหนมาไหนก็ได้!

คนกรีกสมัยโบราณเชื่อว่า มดลูกในตัวเรา เดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วช่องท้องเราเลย ซ้าย ขวา ขึ้น ลง อะไรก็ได้ที่ทำให้มดลูกสบายใจ… เพลโต นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เคยพูดไว้ว่า “มดลูก คืออวัยวะที่ขยับตัวเองไกลออกไปเรื่อยๆ ได้จนถึงสีข้าง..”

จนมาถึงปี 1700s หมอทั้งหลายเชื่อกันว่า สาเหตุของโรคฮิสทีเรีย หรือโรคติดเซ็กส์ในตัวผู้หญิง เกิดจากการที่มดลูกเดินทางขึ้นไปยังสมอง! เลยเอาแต่คิดๆๆๆๆ เรื่องเซ็กส์น่ะสิ

เอาเป็นว่า มดลูกของเราอยู่ที่เดิมไม่เคยไปไหนเลยจ่ะ แต่ถึงถ้ามดลูกเราเดินทางจากช่องคลอดไปสมองได้จริงๆ มันคงเกิดอะไรน่ากลัวกว่าโรคฮิสทีเรียเยอะน่ะ…

โรคฮิสทีเรีย รักษาได้ด้วยไวเบรเตอร์…

ถ้าเคยคิดว่า เจ้าไวเบรเตอร์ เซ็กส์ทอยตัวโปรดของเรานี่ ผลิตขึ้นมาเพื่อความสุขของเราล้วนๆ คิดผิดแล้วล่ะ ย้อนกลับไปช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 โรคฮิสทีเรีย คือโรคระบาดที่หาสาเหตุไม่ได้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ อาการมันคือ รู้สึกเร้าอารมณ์แบบต่อเนื่อง มีความกังวล จินตนาการอีโรติคแฟนซีมากมายในหัว มีอาการแฉะ… คือตอนนี้ เราก็รู้แหละ ว่ามันคือความต้องการที่ท่วมท้นของผู้หญิง แต่สมัยก่อน คนเขาไม่เชื่อว่า ผู้หญิงจะสามารถเอนจอยกับเซ็กส์ได้ (หื้ม?) ใครที่เป็นแบบนั้นจะถูกมองว่าน่ากลัว และมีปัญหาชัวร์ๆ (หื้ม??)

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมัยนั้น เลยเปิดการบำบัด คือการนวดช่วงล่างเพื่อให้ผู้หญิงรู้สึกอยากออกัสซั่มกันน้อยลง  (เพราะเมื่อก่อน การช่วยตัวเองถือเป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงควรทำ เลยต้องถึงมือหมอ เพื่อให้ดูเป็นการเป็นงานและไม่น่าเกลียด) (หื้มห้ื้มมม??) แต่หมอเองก็ขี้เกียจทำ เพราะเขาทั้งเหนื่อย นิ้วก็ชา แถมผู้หญิงแทนที่จะหายอยาก ก็กลายเป็นกลับมาบำบัดอีกเรื่อยๆ (แหม่) ในที่สุด ช่วงปี 1880s หมอชาวอังกฤษเลยสร้างเจ้าไวเบรเตอร์ หรือเครื่องนวดส่วนตัวนี่ขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือรักษาความต้องการนี้ของผู้หญิง!

ประจำเดือนของผู้หญิง คือยาพิษ!

ปี 1920s เขาเชื่อกันว่า มันมีสารพิษอยู่ในเลือดประจำเดือนของเรา อันตรายถึงขั้นทำให้ดอกไม้ตายได้! ทฤษฎีนี้คิดค้นโดยดร. เบล่า ชิ้ค เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะช่วงนั้น ผู้ช่วยของเขากำลังมีประจำเดือนอยู่ แล้วเธอก็กำลังเอาดอกไม้วางใส่แจกัน แล้วดอกไม้นั่นก็ตาย! ตั้งแต่นั้นมา ดร.เบล่า ก็เลยใช้เวลาพิสูจน์ทฤษฎีว่าประจำเดือนนี้คือสิ่งมีพิษ ให้น่าเชื่อถือต่อๆๆๆมา

แถมเมื่อศตวรรษที่ 13 ยังมีหนังสือแต่งขึ้นมาเรื่อง ความลับของผู้หญิง (De Secretis Mulierum) เขียนไว้ว่า “จริงๆ แล้ว ผู้หญิงไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจ! ประจำเดือนของผู้หญิงเป็นสิ่งอันตราย ถึงขนาดถ้าแค่เด็กๆ เผลอหันไปมอง ประจำเดือนก็สามารถพ่นพิษใส่เด็กน้อยน่าสงสารนั้นได้”

โท่ ประจำเดือนของเรา ก็แค่เลือดและเนื้อเยื่อที่ร่างกายเราไม่ต้องการแล้ว ไม่ใช่สารพิษซักหน่อย!

ผ้าอนามัยแบบสอด คือการทำให้เราเสียเวอร์จิ้น!

กว่าจะรู้กันว่า การใช้ผ้าอนามันแบบสอดนี้ จะไม่ทำให้สาวๆ เสียเวอร์จิ้น ก็ปี 1940s นู่นแหน่ะ ก่อนหน้านั้น ผ้าอนามันแบบสอดยุคแรก ผลิตมาเมื่อประมาณช่วงศตวรรษที่ 18-19 ส่วนใหญ่แล้ว เอาไว้ให้คุณหมอรักษาและให้ยาบริเวณช่องคลอดประมาณนั้น แล้วต่อมา คนก็กลัวกันต่างๆนานาว่า มันจะดูไม่ดีที่ผู้หญิงอาจจะเผลอจับของลับของตัวเอง หรือผ้าอนามันแบบสอดตัวนี้จะไปปิดช่องทางประจำเดือน หรืออาจทำให้เราสูญเสียเวอร์จิ้นไปเลย!

ข้อมูลจาก : CLEO Thailand