posttoday

ปวดประจำเดือนแบบไหน ควรรีบไปหาหมอ

25 มิถุนายน 2562

ทำไมผู้หญิงจึงเกิดอาการปวดประจำเดือนมากน้อยแตกต่างกัน และความรุนแรงหรืออาการปวดเรื้อรังทำให้เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง

ทำไมผู้หญิงจึงเกิดอาการปวดประจำเดือนมากน้อยแตกต่างกัน และความรุนแรงหรืออาการปวดเรื้อรังทำให้เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง
 
อาการปวดประจำเดือน เป็นอาการที่พบได้บ่อยในวัยเจริญพันธุ์ โดยแต่ละช่วงอายุก็พบมากน้อยต่างกันไป ภาวะผิดปกติที่พบได้บ่อยที่สุดจะเริ่มตั้งแต่ปีแรกของการมีประจำเดือน ในกรณีที่ไม่มีโรคร่วมอย่างอื่นอาการปวดมักดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น หรือหลังการมีบุตร

สาเหตุของการปวดประจำเดือน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) คือการปวดประจำเดือนที่ไม่มีโรคหรือพยาธิสภาพใดๆ อาการปวดนี้เกิดจากสาร Prostaglandin เป็นสารเคมีที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างการมีประจำเดือน สารดังกล่าวเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยและลดปริมาณเลือดมาเลี้ยงมดลูก และระดับออกซิเจนมายังมดลูก เหมือนอาการเจ็บครรภ์คลอด โดยสารดังกล่าวอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลวในบางราย โดยทั่วไปอาการที่เป็นลักษณะจำเพาะของการปวดประจำเดือนปฐมภูมิ มีดังนี้

  • เริ่มปวดตั้งแต่หลังมีประจำเดือนใหม่ๆ (less than 6 month after menache)
  • ระยะเวลาของอาการจะเกิดภายใน 48-72 ชั่วโมงของการมีประจำเดือน
  • อาการปวดบีบหรือปวดคล้ายอาการเจ็บครรภ์คลอด
  • อาการปวดมักเริ่มจากบริเวณอุ้งเชิงกราน อาจมีร้าวไปหลัง หรือต้นขาได้
  • ตรวจภายในไม่พบความผิดปกติ
  • อาจพบร่วมกับอาการอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้
ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) คืออาการปวดประจำเดือนที่มีพยาธิสภาพ หรือโรคอื่นอันเป็นสาเหตุของการปวด โดยมักมีอาการปวดที่รุนแรง หรือเรื้อรังมากกว่าปวดประจำเดือนปฐมภูมิ ดังนี้
  • อาการปวดเริ่มในช่วงอายุ 20-30 ปี โดยไม่มีอาการปวดประจำเดือนมาก่อนหรือปวดน้อยกว่า
  • อาการปวดรุนแรงมากขึ้น มีผลต่อการทำงาน ปวดมากจนในบางรายจำเป็นต้องได้รับยาฉีดแก้ปวด
  • มีประจำเดือนมามากหรือมาผิดปกติร่วมด้วย
  • มีความผิดปกติในอุ้งเชิงกราน หรือตรวจร่างกายพบความผิดปกติ
  • ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิด
  • มีภาวะมีบุตรยาก
  • ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีตกขาวผิดปกติทางช่องคลอด

ปวดประจำเดือนแบบไหน ควรรีบไปหาหมอ

ปวดประจำเดือนรุนแรงหรือเรื้อรังนานๆ เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง

โดยทั่วไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิอาการมักไม่รุนแรง ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงหรือเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักเป็นอาการปวดประจำเดือนทุติยภูมิ ซึ่งสาเหตุการเกิดได้แก่
 
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นโรคหรือภาวะที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นที่อวัยวะอื่นหรือบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ภายในโพรงมดลูก โดยเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายตามรอบประจำเดือนเหมือนเซลล์ที่อยู่ในโพรงมดลูกที่จะมีประจำเดือนออกมาทุกรอบเดือน ดังนั้น หากมีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่รังไข่ หรือเยื่อบุช่องท้องน้อย ก็จะทำให้มีเลือดคั่ง กลายเป็นถุงน้ำที่เรียกว่าถุงน้ำช็อกโกแลต (chocolate cyst) หรือ มีเลือดออกในช่องท้อง ก็จะมีอาการปวด ระคายเคืองในท้องน้อย ปวดท้องประจำเดือนมากขึ้น และเซลล์ดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดพังผืดในช่องท้องได้ ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดท้องน้อยขณะตรวจภายใน และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากในอนาคตด้วย ในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตเข้ากล้ามเนื้อมดลูก เรียกว่า Adenomyosis ยังทำให้เกิดมดลูกโต ประจำเดือนมามาก ปวดท้องน้อยมากขณะมีประจำเดือน บางรายมีอาการท้องโตขึ้นหรือบวมมากขึ้นก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากมีเลือดออกในกล้ามเนื้อมดลูก
  • เนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะเนื้องอกมดลูกชนิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูก (Submucous myoma) เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายของมดลูกที่พบได้บ่อย จากการรายงานผลทางพยาธิวิทยาพบเนื้องอกในมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดมากถึง ร้อยละ 80 แต่สำหรับเนื้องอกที่ก่อให้เกิดอาการพบประมาณ 12-25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยเนื้องอกชนิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูกพบได้ร้อยละ 5-10 ของโรคนี้ เนื้องอกชนิดนี้จะทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น เพื่อขจัดสิ่งที่ขัดขวางการหดรัดตัวภายในโพรงมดลูก จึงเป็นสาเหตุให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น
  • มีพังผืดในช่องท้อง พังผืดนี้อาจเกิดจากผลของการผ่าตัดคลอด หรือประวัติการผ่าตัดเข้าช่องท้องมาก่อน หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกรานและช่องท้อง ก่อให้เกิดพังผืดที่มีการดึงรั้งมดลูก ขณะที่มดลูกบีบตัวในขณะมีประจำเดือน ก็ทำให้อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น หรือบางครั้งอาจปวดท้องน้อยเรื้อรังโดยไม่สัมพันธ์กับประจำเดือนก็ได้
  • ปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis) เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกจากโพรงมดลูกได้ไม่สะดวก ทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น ทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นได้
  • ความผิดปกติของโครงสร้างทางกายภาพในอวัยวะสืบพันธุ์ (Obstructive malformation of the genital tract) โครงสร้างที่ผิดปกติอาจทำให้ประจำเดือนไหลออกมาไม่ได้ ทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังพบสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเรื้อรัง ได้แก่ ภาวะเนื้องอกรังไข่ Ovarian  neoplasm, ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis), การตั้งครรภ์, เนื้องอกมดลูกชนิดต่างๆ, Adrenal Insufficency and Adrenal Crisis, การติดเชื้ัอในทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท้องนอกมดลูก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease, Irritable Bowel Syndrome), อุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นต้น

วิธีแก้อาการปวดประจำเดือน

การรักษาโดยไม่ใช้ยา
  • อาจเป็นการดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการน้อย หรือใช้ควบคู่กับการใช้ยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ได้แก่
  • การออกกำลังกาย เนื่องจากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายจะปรับปรุงเรื่องอารมณ์และความเครียดที่เกิดขึ้นจากอาการปวดประจำเดือนได้ ทำให้สามารถลดอาการที่เกี่ยวเนื่องกับประจำเดือนและลดอาการปวดได้
  • การฝังเข็ม และการกระตุ้นเส้นประสาท (Transcutaneous electrical nerve stimultation)
  • การออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะ
  • ใช้การประคบร้อน
การรักษาด้วยยา
  • การรักษาด้วยยาแบ่งเป็น ยากลุ่มที่ไม่ใช่ฮอร์โมน และยากลุ่มฮอร์โมน
  • ยากลุ่ม NSAIDs พบว่าได้ผลในการรักษาค่อนข้างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากทานยาทันทีที่มีประจำเดือน หรือเริ่มมีอาการที่เกี่ยวเนื่องกับประจำเดือน และทานตามเวลาต่อเนื่อง 2-3 วัน แต่ยาชนิดนี้มีข้อห้ามใช้ในกรณีมีความผิดปกติของภาวะเลือดออก หรือผู้ป่วยหอบหืด ผู้ที่แพ้ยากลุ่มแอสไพริน ตับผิดปกติ โรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การรักษาด้วยการผ่าตัด
 
มักเป็นทางเลือกสำหรับกรณีที่ได้รับการรักษาด้วยยาแก้ปวดและฮอร์โมนไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกรณีรายที่อาจสงสัยภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือพยาธิสภาพในช่องท้อง หรือมีโรคและเนื้องอกต่างๆ  จากสถิติพบว่า ในรายที่ได้รับการรักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นและได้รับการผ่าตัดส่องกล้อง พบภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มากถึงร้อยละ 80 การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปวดประจำเดือน ได้แก่ การส่องกล้อง การตัดมดลูก การผ่าตัดเส้นประสาท การจี้เส้นประสาทมดลูก
 
การรักษาด้วยการแพทย์ผสมผสานและแพทย์ทางเลือก
 
ได้แก่ การใช้กลุ่มวิตามิน สมุนไพรต่างๆ เช่น Vitamin E, Fish oil/Vitamin B12 combination, Magnesium, Vitamin B6, Toki-shakuyaku-san, Fish oil, Neptune Krill oil แต่การรายงานประสิทธิภาพจากงานวิจัยยังมีจำกัด
 

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือนเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้ในสตรีวัยเจริญพันธุ์ทุกคน อาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเฉพาะ ดังนั้น สตรีที่มีอาการผิดปกติ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางเพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
 
 
 
 
ภาพ freepik