posttoday

จัดการให้อยู่หมัด ‘เงินเฟ้อ’ผู้ร้ายขโมยค่าเงิน

18 ธันวาคม 2561

การประหยัด การจัดการใช้จ่ายเงิน และการทำเงินให้งอกเงย คือแนวทางความมั่นคงทางการเงิน

เรื่อง ภาดนุ ภาพ Pixabay

การประหยัด การจัดการใช้จ่ายเงิน และการทำเงินให้งอกเงย คือแนวทางความมั่นคงทางการเงิน แต่หลายคนอาจคิดแบบง่ายๆ ว่า ถ้าเช่นนั้น หากเราอยู่เฉยๆ มีเงินเท่าไรก็เก็บอย่างเดียวโดยไม่ต้องไปลงทุน เพื่อให้มันงอกเงยก็ได้ไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างน้อยเงินมันก็ไม่หายไปไหน

ภานุศร เครือปัญญาดี ผู้เขียนหนังสือ “อยากรวยเร็ว รวยแบบยั่งยืน ต้องให้เงินทำงาน” บอกว่า การเก็บเงินที่มีอยู่ให้ดี เช่น เก็บธนบัตรไว้อย่างดีที่สุด หรือเก็บตัวเลขในบัญชีให้คงเดิมไปนานๆ นั้น อาจจะไม่ทำให้ตัวเลขในบัญชีหรือธนบัตรจางหายไปก็จริง แต่เชื่อมั้ยว่า แม้ตัวเลขมันจะคงเดิม แต่ค่าของมันก็อาจลดลงไปตามกาลเวลาได้

เงิน 1,000 บาท ในวันนี้อาจเหลือค่าแค่ 900 บาท ในอีก 2 ปีข้างหน้า และลดลงเรื่อยๆ ในปีต่อไปก็ได้

ธรรมชาติของเงินที่คุณจะลืมไม่ได้ก็คือ เงินในโลกนี้มีจำกัด แม้จะมีการผลิตธนบัตรใหม่ๆ ออกมาตลอดก็ตาม แต่กระนั้นด้วยอัตราเงินเฟ้อและการผันผวนทั้งหลายก็อาจทำให้เงิน 1,000 บาท ในปัจจุบัน มีค่าเท่ากับ 100 บาทของเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเท่านั้นเอง

ฉะนั้น การปล่อยให้เงินในกระเป๋าของคุณอยู่กับที่เช่นนั้น ก็เท่ากับปล่อยให้มันลดค่าลงไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าเงิน 1,000 บาท ในวันนี้ อาจมีค่าลดลงจากเดิมในวันข้างหน้าก็ได้ แล้วอะไรทำให้มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้าสิ่งที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” นั่นเอง

จัดการให้อยู่หมัด ‘เงินเฟ้อ’ผู้ร้ายขโมยค่าเงิน

อัตราเงินเฟ้อที่คุณได้ยินอยู่ตามข่าวโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์ก็คือเช่นนี้นี่เอง เช่น เมื่อเราเห็นเสื้อตัวหนึ่งราคา 100 บาท ในตอนนี้ แต่เรายังไม่ซื้อปีนี้ ไว้ไปซื้อปีหน้า แล้วพอดีว่าปีหน้ามีข่าวออกมาว่า “อัตราเงินเฟ้อเพิ่มอีก 10%” ก็จะทำให้ราคาของเสื้อตัวนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 110 บาท ดังนั้น มันจึงเป็นภาวะที่ค่าเงินลดลงไปจากเดิม ทำให้เราต้องเพิ่มเงินตามอัตราเงินเฟ้อ เราถึงจะซื้อของชิ้นที่อยากได้เมื่อปีที่แล้วได้

หลายคนคงสังเกตเห็นแล้วว่า ทุกวันนี้ของแพงขึ้นทุกปีในขณะที่ธนบัตรใบละ 100 บาท ของเราก็ยังชำระเงินได้แค่ 100 บาท เช่นเดิม นี่แหละที่เรียกว่าพลังแห่งอัตราเงินเฟ้อ ที่หากเราอยู่เฉยๆ ไม่คิดหาทางลงทุน หรือหาผลตอบแทนมาชดเชยเพิ่มค่าของเงินเราให้มีเพิ่มขึ้นได้ เงินที่เรามีก็จะใช้จ่ายได้น้อยลงไปเรื่อยๆ

การรับมือเรื่องนี้ย่อมหนีไม่พ้นการหาทางทำให้เงินออมของคุณ ผลิดอกออกผล เพิ่มจำนวนขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อให้ทัน ทำให้การศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นในปัจจุบัน เพราะเราไม่สามารถทำแบบคนสมัยโบราณที่เก็บเงินใส่โอ่งแล้วฝังดินไว้ได้อีกต่อไป

นอกจากการหากองทุนหรือแหล่งลงทุนที่จะเพิ่มจำนวนเงินให้เราได้แล้ว อีกทางหนึ่งก็คือการซื้อสิ่งที่เป็นทรัพย์สิน โดยแปลงเงินที่มีให้กลายเป็นทรัพย์สิน ซึ่งทรัพย์สินในที่นี้หมายถึง สิ่งที่จะทำให้ค่าเงินที่เราลงไปนั้นเพิ่มค่าได้ตามเศรษฐกิจ และทรัพย์สินที่คนนิยมซื้อกันมากก็คือ “ทองคำ” เพราะมันจะเพิ่มค่าในตัวมันเองอยู่เสมอ เราอาจจะลงทุนซื้อมันในราคาบาทละ 1.8 หมื่นบาท ในตอนนี้ จากนั้นก็แค่รอจังหวะ ทองก็จะปรับราคาสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ ลองสังเกตดีๆ ว่า ราคาทองมีแต่ขึ้นกับขึ้นมาตั้งแต่อดีตแล้ว จากราคาบาทละ 4,000 บาท เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนี้กลายเป็น 1.8 หมื่นบาทแล้ว

นี่จึงถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถเก็บเงินก้อนนั้นให้อยู่ในรูปของทรัพย์สินที่เพิ่มมูลค่าในตัวเองเสมอ เรียกว่าเป็นการใช้เงินทำงาน โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการซื้อทองเท่านั้นเอง แล้วเงิน 1.8 หมื่นบาท ในวันนี้ก็จะเพิ่มค่าไปตามอัตรากับกลไกทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคตได้ด้วยตัวของมันเอง