posttoday

เราไม่เคยห่างกัน อุเทน ซุ้ยวงศ์ษา+รภัทกร สกุลภัทกรวงศ์

15 ธันวาคม 2561

เรื่อง : นกขุนทอง

เรื่อง : นกขุนทอง


ในแวดวงความสวยความงาม โดยเฉพาะการสัก ต้องมีชื่อของ “อาจารย์กอล์ฟ" อุเทน ซุ้ยวงศ์ษา” กับ “อาจารย์เอ๋" รภัทกร สกุลภัทกรวงศ์” เป็นที่รู้จักกันดี เพราะนอกจะเป็นช่างสักเอง ยังเป็นอาจารย์สอนการสักคิ้วและปาก มีนักเรียนทั้งคนไทยและต่างชาติมาเรียน

โดยเฉพาะ กอล์ฟ อุเทน เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ได้รับรางวัลการันตีมาตรฐาน I.B.A.Global Quality & Service จากประเทศสหรัฐอเมริกา และยังเป็นเจ้าของรางวัล Asia Top Award สาขาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสักเพนต์เพื่อความงามแห่งเอเชียรายแรกของไทย โดยเทคนิคนี้มีชื่อเฉพาะที่ได้รับการจดลิขสิทธิ์ไว้ในชื่อของเทคนิคการสักเพนต์คิ้วลายเส้นสามมิติ 3Dplus

คู่นี้ไม่ได้เป็นแค่หุ้นส่วนร่วมก่อตั้งและบริหาร “โปร-บิวติ สตูดิโอ” (Pro-Beauti Studio) ถนนสุขุมวิท 107 (แบริ่ง 37) เท่านั้น แต่ยังเป็นคู่คิด คู่ทุกข์คู่ยาก คู่รัก คู่กัด และต้องบอกว่าเป็นคู่กันจริงๆ เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา 10 กว่าปี คนที่รู้จักเห็นทั้งคู่มาเป็นคี่น้อยมาก เรียกว่า มีกอล์ฟต้องมีเอ๋ มีเอ๋ก็ต้องมีกอล์ฟ

“เราก้าวไปด้วยกันเสมอ”

กอล์ฟ-อุเทน พาย้อนวันหวานแสนหวาน แต่ความรักของพวกเขาเกือบผิดฝาผิดตัว “รู้จักกันในที่เที่ยวกลางคืน ซึ่งในกลุ่มเพศที่สามน้อยคนมากที่จะหาคู่ในที่เที่ยว แล้วคบกันได้นาน

กอล์ฟก็ไปเที่ยวปกติกับเพื่อนไม่ได้ตั้งใจหาแฟน ก็เห็นสายตาเขามองมาที่เรา สักพักเด็กเสิร์ฟเดินมาขอเบอร์เพื่อนเรา ตอนนั้นก็เอ๊ะ! มองเราแต่ทำไมขอเบอร์เพื่อน

แล้วพี่เอ๋กับเพื่อนก็คุยกันผ่านแชตบีบี แล้วนัดเจอกัน ปรากฏว่า อ้าว! ไม่ใช่ คือเขานึกว่าคุยกับเรามาตลอด สรุปคือเด็กมาขอเบอร์ผิดคน (หัวเราะ)

จากนั้นพี่เอ๋ไปหาไฮไฟเรา (บ่งบอกยุคสมัยของการคบหากันจริงๆ) แล้วก็ทักมา เขาก็คุยปกติชวนเที่ยวจนเรากลายเป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา พี่เอ๋ชัดเจนตั้งแต่แรกเลยว่ามาจีบ”

คลิ๊กกันได้เร็วเพราะเคมีตรงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่มีอะไรที่คล้ายกัน แต่เป็นความต่างกันที่ทำให้พอมาอยู่ด้วยกันแล้วผสานกลมกลืนกันได้ดี

“เขากินผักเราไม่กินผัก ไม่แย่งกันกิน แล้วตอนนั้นเราเหมือนคนเกเรเลย ติดเที่ยว เอาแต่ใจ แต่พี่เอ๋เขาจะมีวิธีบอกของเขา บอกบ่อยๆ ไม่ฟัง เขาก็มีคำประมาณว่า โตแล้วคิดเอง แล้วเราก็ค่อยๆ คิดเองได้

แรกๆ ปรับตัวไม่ค่อยได้เลย คืองง เขาโตมากับครอบครัวที่เป็นระเบียบ ห้ามนู้นนั่นนี่ ส่วนกอล์ฟเฮฮา ฟรีสไตล์อยากนอน กินตอนไหน ไปไหนก็ไป ไม่ต้องมานั่งขอแม่ กอล์ฟออกจากบ้านไปใช้ชีวิตหาเงินเรียนเองแบบฝรั่งตั้งแต่อายุ 18 ปี

ตอนเจอเขาอายุ 22 ปี ตอนนั้นเราเที่ยวเก่งมาก มีกลุ่มเพื่อนเที่ยวหลายกลุ่มไปทุกที่ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดก็ไป แต่เรื่องเที่ยวเราก็ชอบเหมือนกัน มีต่างกันตรงเราสบายๆ ลุยได้นอนกางเต็นท์ไม่มีพัดลมก็ได้ แต่เขาขอสบายๆ ที่พักดีๆ

แรกๆ เราใจร้อน เอาแต่ใจมากๆ ปัจจุบันก็เป็นแต่น้อยลง มีเหตุผลมากขึ้นรับฟังกันมากขึ้น ผิดก็คือผิดยอมรับได้ ที่เขาเตือนบอกเราจะก้าวไปด้วยกัน เรารู้ด้วยตัวของเรา ถ้าเราผิดเราถอยกลับมา เราไปด้วยกัน พอพี่เขาจะไปแบบนี้ดีไหม เราสนับสนุน คือจะทำอะไรคุยกันตลอด จะไม่มีใครตัดสินใจเองว่าทำแบบนี้แล้วทำเลย

ไม่ค่อยเจอปัญหาที่ไม่เข้าใจกัน เราจะถามกันเลยไม่ค่อยเก็บ เมื่อก่อนอารมณ์ร้อนมากๆ ไม่ชอบอะไรพูดเลย แต่ก่อนนี้เราจะไม่งอนกันทะเลาะกันเกินวัน เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร จะหาเหตุผล ปรับได้ก็ปรับ แต่ช่วง 3-4 ปีหลังแทบไม่มีเรื่องทะเลาะกันเลย ด้วยช่วงเวลาที่เราคบกันนาน เราโตขึ้นนิสัยก็เปลี่ยนไปอัตโนมัติ”

เราไม่เคยห่างกัน อุเทน ซุ้ยวงศ์ษา+รภัทกร สกุลภัทกรวงศ์

คอยดูแลซึ่งกันและกันจนเกิดความผูกพัน

“ตอนคบกันแรกๆ กอล์ฟทำงานโคโรกราฟในผับ คอยดูนางโชว์ ไปสถานที่เป็นผับหลายๆ ที่ในกรุงเทพฯ พี่เขาก็ตามไปรับส่ง คอยดูแลที่เราชอบเขาเพราะความใส่ใจ เขาจำดีเทลอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ อะไรที่เรามองข้ามเขาไม่มองข้าม หลายคนไม่มีจุดนี้เขามี เขาทำให้เราดูมีค่า

แล้วเขาดูแลไปจนถึงพ่อแม่ น้องเรา แรกๆ เราไม่ได้บอกครอบครัวไม่พูดเลยว่าคบกับใคร เขาจะดูรู้เองว่าเพื่อนลูกชาย ครอบครัวพี่เอ๋ เราเข้าไปเป็นผู้ชายคนแรกในบ้านเขา ที่บ้านเขาก็ไม่ถาม ทุกวันนี้อยู่ด้วยกัน 2 ครอบครัวก็ไม่เคยมาพูด เขารู้กันว่าเราอยู่แบบไหน ความสัมพันธ์ของเราอยู่แบบพี่น้อง ผูกพันจนข้ามผ่านความเป็นคู่รัก”

ล้มลุกปลุกปั้นทำธุรกิจด้วยกันมาจนเกือบเลิกกัน แต่ยังจับมือกันมั่นจนสามารถข้ามผ่านปัญหามาได้

“ตอนทำร้านอาหารที่เชียงใหม่ พี่เอ๋มีแผน มาร์เก็ตติ้งจ๋า แต่เราจะลุยเลย ความเห็นไม่ตรงกัน ทะเลาะกันทุกวัน แต่บทเรียนครั้งนั้นทำให้เรารอดมาถึงทุกวันนี้ทั้งเรื่องธุรกิจและวิธีการเราได้เรียนรู้ พี่เขาเกือบทิ้งเราไปแล้ว ก็ฉุกคิดเราคบกันมาจะปล่อยให้เวลานิดเดียวทำลายเวลาที่คบกันมาเลยเหรอ ก็เลยคุยกัน กลับกรุงเทพฯ มาเริ่มกันใหม่ดีกว่า ทุกวันนี้เราไปในทิศทางเดียวกัน เวลาจะก้าวไปฝั่งหนึ่งหันมาถามก่อน แล้วก้าวไปพร้อมกัน”

จนมากลายเป็นดูโออาจารย์สักในวงการความสวยความงาม

“เราทำธุรกิจมาหลายอย่าง จนกระทั่งมาเจอสักคิ้วเราคิดว่าไปได้อีกยาว ไม่ว่าเศรษฐกิจยังไงคนก็พยายามหาเงินมาทำเรื่องความสวยความงาม ก็ไปเรียนสักคิ้วสักปากและสักให้เพื่อนๆ บอกปากต่อปาก แล้วเรานำโปรไฟล์ไปเสนอคลินิกแถวอุดมสุข และเป็นพาร์ตเนอร์กับโรงพยาบาลวิภาวดี ลาดพร้าว

ระหว่างนั้นก็เรียนเพิ่มเติมทั้งในไทยและต่างประเทศ หาความรู้เรื่องสี เรื่องของการใช้เข็ม เรื่องเทกซ์เจอร์ผิว หาความรู้หลายๆ ที่แล้วมาประยุกต์เป็นของเรา จนเมื่อปี 2558 เปิดของตัวเองที่แบริ่ง 37 แต่ก็ยังทำที่เดิมอยู่ และตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ขยายไปที่ย่างกุ้ง เมียนมา เราก็ไปด้วยเดือนละ 3-4 วัน”

“เขาบอกคงไม่มีโอกาสแต่งงาน ผมทำให้เป็นจริง”

เอ๋ รภัทกร เล่าถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่ประทับใจจนไม่มีวันลืม วันที่ขอแต่งงานและจัดงานเลี้ยงท่ามกลางเพื่อนฝูง 200 คน

“วันที่ขอเขาแต่งงาน เป็นปาร์ตี้วันเกิดของเราสองคน เกิดใกล้ๆ กัน แล้วผมจำได้เขาเคยบอกผมว่า เกิดมาเป็นแบบนี้คงไม่มีโอกาสแต่งงาน

วันนั้นก็วางแผนทุกอย่าง มีเขากับเพื่อนไม่กี่คนที่ไม่รู้ วีทีอาร์ก็เปลี่ยนมาเป็นเราพูดถึงเขา เค้กวันเกิดก็เป็นเค้กแต่งงาน มีช่วงหนึ่งเราก็หายไปจากงานกลับมาพร้อมช่อดอกไม้ ก็บอกเขาว่า คุณเคยบอกว่าเกิดมาเป็นแบบนี้คงไม่ได้แต่งงานหรอก ว้นนี้คุณมีโอกาสแล้วจะแต่งงานกับผมไหม เขาก็ตกลง สวมแหวนกัน ตัดเค้กแต่งงาน มีพี่ผู้ใหญ่อวยพร เป็นโมเมนต์หนึ่งที่เรามีความสุข”

จากที่ตอนคบแรกๆ คิดว่าคงไปกันไม่รอด เพราะความใจร้อนและเอาแต่ใจตัวเองของอีกฝ่าย

“เขาเอาแต่ใจ จนมีคำพูดว่า กอล์ฟผู้ไม่เคยผิด (หัวเราะ) เขาก็รู้ตัวนะ ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องโจ๊กแล้ว เขาก็ยังเอาแต่ใจแต่เบาลงเยอะและเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นช่วงแรกๆ ทะเลาะกัน พอทะเลาะกันเสร็จเขารู้ตัวว่าผิดก็ขอโทษ บางทีก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นคิดว่าคงเลิกกัน ไปกันไม่รอดหรอก แต่เขาก็ปรับได้ดีขึ้นเราก็ปรับได้ดีขึ้น เราก็ไม่โยนน้ำมันใส่ไฟ อายุห่างกันเกือบ 6 ปี เขายังมีความเป็นเด็กอยู่ตลอด มุมเป็นผู้ใหญ่ก็มีมุมเด็กสดใสก็มี เลยมีความบาลานซ์ ก็เลยอยู่ยาว

ทุกวันนี้เจอคำถามเยอะมากว่า ทำไมคบกันได้นาน ซึ่งในมุมเพศที่สามส่วนมากคบกันไม่นานเปลี่ยนคู่ ซึ่งตอนแรกผมก็มีความคิดอย่างนั้น แต่เราก็อยู่ด้วยกันมาได้เป็นบุญกรรมที่ร่วมกันมามั้ง แล้วก็ทลายความคิดนั้นไปได้ เป็นคำถามที่ตอบยาก เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ ได้เจอปัญหา แก้ปัญหา ไปสูงสุดดิ่งลงมาสุดก็เจอมาด้วยกัน”

เป็นผู้ชายคนแรกที่พาเข้าบ้าน

“หลังจากกลับมาจากเชียงใหม่ก็พามาอยู่ที่บ้านผมเลย ที่บ้านไม่ได้ถามอะไร เลี้ยงดูเรามาก็คงรู้ดูจากการที่เราเทกแคร์กันที่เขาทำให้เราประทับใจเรื่องของความใส่ใจของครอบครัวเรา ตอนนี้เราไม่ได้มีกันสองคน เราเปิดรับกันทั้งบ้าน ไม่ต้องคุยกันว่าเราคบกันแบบไหน สรุป 2 บ้านย้ายมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันได้ 3 ปีแล้ว” ทำธุรกิจด้วยกันมาตลอด จึงไม่กลัวอาถรรพ์คู่รักเลิกกันเพราะเรื่องธุรกิจ

“เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทำอะไรด้วยกันจนเป็นความเคยชิน ตั้งแต่คบกันไม่เคยห่างกันไกล เวลาเราทำอะไรสักอย่างจะระดมความคิด เคยคุยกันนะถ้าสักวันไม่มีกันจะเป็นยังไง แต่ก็บอกกันว่า อย่าไปคิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนเรื่องสัก ตอนแรกผมก็ไม่ได้ชอบ แต่เขาชอบก็ไปเรียนเป็นเพื่อนเขา เพราะเราไปไหนด้วยกันตลอด จนลูกค้าเยอะเขาทำไม่ทันก็เลยแบ่งกันผมสักปาก เขาสักคิ้ว

ที่ผ่านมาเคยมีอาจารย์ผู้ช่วยสัก แต่ด้วยความที่เป็นคนนอก มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาก็มีปัญหา แล้วถึงแม้มีคนอื่นมาช่วยทำ สุดท้ายเราเป็นเจ้าของลูกค้าไม่พอใจสุดท้ายกลับมาอยากให้เจ้าของดูแล เราทำเองแต่ต้นเราแฮปปี้ แม้จะเหนื่อย เวลาพักค่อนข้างน้อยแต่เวลาพักเราก็สุดให้กำลังใจกันเสมอ เรารับเคสเท่าที่เราไหว แต่พอเรามีพนักงานมากขึ้น ดูแลครอบครัวตอนหลังงานมากขึ้น วันหยุดน้อยลง เขาชอบคิดอยากไปเที่ยวนั้นนี่แต่ก็คงไปไม่ได้เพราะไม่มีเวลา แต่ผมจะพยายามหาเวลาให้เขาได้พักได้เที่ยว จะคุยกับเด็กๆ ให้สลับคิวลูกค้า แล้วจัดแจงจองตั๋วที่พัก ใกล้ถึงวันก็บอกเขา เขาก็ดีใจได้หยุดหรอ ว่างเหรอ เขาก็แฮปปี้ได้เที่ยว”

ไม่ว่าตอนนี้งานจะยุ่งแค่ไหน แต่ทั้งคู่ยังหาเวลาไปเที่ยวกันอยู่เสมอ แม้จะวันครึ่ง สองวันก็ยังไป เป็นการชาร์จแบต แม้ทุกวันนี้ทั้งคู่จะบอกตรงกันว่าไม่มีโหมดกุ๊กกิ๊ก โรแมนติกแบบช่วงแรกๆ แต่การที่ทั้งคู่ไม่เคยห่างกันเลย (ยกเว้นทำงานสักกันคนละห้องนั้นละ) ก็เป็นสิ่งยืนยันว่า ใครจะมาแทรกกลางไม่ได้เลย เพราะมือที่จับกันแน่นและเข้าใจกันมากขึ้นๆ นั้นหยั่งรากลึกลงในความผูกพันเรียบร้อยแล้ว