posttoday

พลวัฒน์ เอื้อสุดกิจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

13 พฤศจิกายน 2561

ชายหนุ่มวัย 30 ต้นๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เขาเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบริษัทนำเข้าเครื่องตัดไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจนี้มานานกว่า 50 ปี

เรื่อง อณุสรา ทองอุไร ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

ชายหนุ่มวัย 30 ต้นๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เขาเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบริษัทนำเข้าเครื่องตัดไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจนี้มานานกว่า 50 ปี ถือว่าเขาเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอย่างแท้จริง เกิดมาในครอบครัวที่เห็นคุณปู่และคุณลุงทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็กๆ มุมมองความคิดต่างๆ ก็ได้รับการซึมซับไปด้วย

พลวัฒน์ เอื้อสุดกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ดเทรดดิ้ง แอนด์ อิมปอร์ต ผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่องเบรกเกอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ยี่ห้อมิตซูบิชิ ด้านการศึกษานั้นเขาจบมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี จบปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคอินเตอร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สนใจจะเรียนต่อปริญญาโท แต่ยังหาเวลาว่างจากการทำงานทั้งของธุรกิจครอบครัวและธุรกิจส่วนตัวยังไม่ได้ เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสลงตัวต้องไปเรียนต่อปริญญาโทอย่างแน่นอน

หลังจากจบปริญญาตรีเขาไปทำงานที่บริษัทบัญชีข้ามชาติแห่งหนึ่งสักพักใหญ่ ก่อนที่จะมาทำธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรัพย์ของตนเอง โดยเขานำตึกแถวเก่าหลายคูหาที่ทิ้งร้างของครอบครัวมาปรับปรุงใหม่จนเป็นอพาร์ตเมนต์ชั้นดีจำนวนเกือบ 50 ห้อง ลงทุนลงแรงด้วยกำลังทรัพย์ส่วนตัวที่เก็บออกมาจากการเล่นหุ้นเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย ดูแลจัดการด้วยตนเอง จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ หลังจากนั้น 2 ปี เขาจึงนำไปต่อยอดต่อไปอีก

เมื่อเห็นช่องทางในการทำธุรกิจ เขาก็ไปหาตึกแถวเก่าเกือบ 100 ห้องในย่านลาดพร้าว ซื้อยกล็อตมาทำอพาร์ตเมนต์ให้นักศึกษาและคนทำงานย่านนั้นได้เช่าอาศัย และ 2 ปีต่อมา เขาก็ได้ตึกแถวล็อตใหญ่มาทำอีก จนมีอพาร์ตเมนต์หลายร้อยห้องและพบว่าเขาถูกโฉลกกับการทำธุรกิจด้านนี้ ก่อนจะต้องรามือ ยังไม่ได้ขยายงานเพิ่มทั้งๆ ที่ยังมีโครงการต่อเนื่องอื่นๆ ที่อยากทำต่อ เพราะต้องมาช่วยธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัวในระยะ 2-3 ปีให้หลังมานี้

พลวัฒน์ เอื้อสุดกิจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

เขาบอกว่า ที่จริงแล้วคุณปู่ก็มีหลานๆ หลายคนอยู่ แต่บังเอิญว่าบางคนไม่ชอบทางนี้ บางคนก็มีธุรกิจของตัวเองบ้าง หรือไปทำในสิ่งที่เรียนมาโดยตรง “อย่างพี่ชายแท้ๆ ของผมก็ไปช่วยทำธุรกิจ ทางฝั่งคุณแม่ก็เลยเหลือผมคนเดียวที่มาช่วยอย่างเต็มตัวในตอนนี้ ซึ่งผมก็มาเป็นผู้ช่วยคุณลุงทำงานอยู่หลายปี ฝึกงานมาทุกแผนกจนครบ คุณลุงถึงวางใจให้มาเป็นผู้บริหาร เพราะตอนนี้คุณลุงเริ่มจะวางมือลงไปแล้วเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น” เขาเล่าถึงที่มา

จากการที่เข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัว ซึ่งนำเข้าและจำหน่ายเครื่องเบรกเกอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการใช้งานในโรงงาน โรงแรม เขาจึงเห็นช่องว่างว่าควรจะมีเบรกเกอร์ขนาดเล็กสำหรับใช้ในบ้าน คอนโดมิเนียมบ้าง แต่ทางมิตซูบิชิไม่ทำขนาดเล็ก จึงให้มีการผลิตในประเทศไทยในชื่อ ยูติค (Utic) ซึ่งจะออกจำหน่ายประมาณต้นปีหน้า ขายในประเทศไทยและทางมิตซูบิชิจะช่วยจัดจำหน่ายในต่างประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับยูติคด้วย

เขาบอกว่า นับเป็นความภาคภูมิใจที่เป็นแนวทางการขยายงานในยุคของเขา ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในการต่อยอดธุรกิจ และนับเป็นครั้งแรกของมิตซูบิชิที่ไม่ได้ผลิตเอง แต่ให้ใช้แบรนด์ร่วมกันและนำไปทำตลาดในต่างประเทศให้ด้วย

“เป็นความโชคดีและลงตัวที่มิตซูบิชิไว้ใจเรา ถือว่าเป็นผลงานที่ผมภูมิใจมาก เป็นก้าวแรกที่ได้เริ่มต้น และจะได้เป็นพันธมิตรธุรกิจกันในด้านอื่นๆ ต่อไป เพราะมิตซูบิชิที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นใหญ่โตมาก เขาทำธุรกิจอื่นๆ มากมาย ทั้งยา อาหารเสริม แอร์ รถยนต์ ธนาคาร ที่ประเทศไทยเข้ามาแค่รถกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งเขามีสินค้าอีกหลายชนิดเขาเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่นเลย” เขาเล่าอย่างตั้งใจ

อดถามต่อไปไม่ได้ว่า เมื่อต้องขยายงานต้องลงทุนด้วยเงินเป็นหลักพันล้านเช่นนี้ เขามีโครงการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ พลวัฒน์ ตอบว่าในระยะ 2-3 ปีนี้ ยังไม่มีนโยบายที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะทางบริษัทมีเงินสดเพียงพอ แต่ใน 4-5 ปีต่อจากนี้ไป ถ้าต้องขยายงานมากๆ ใช้เงินเป็นหมื่นล้านแบบนั้นก็อาจจะต้องคิดใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าหลักร้อยล้าน ทางบริษัทยังมีเงินสดเพียงพอ ไม่ต้องไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

พลวัฒน์ เอื้อสุดกิจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

แม้จะเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ในแง่การทำงานนั้นเขาก็มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี เพราะเขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 เริ่มทำธุรกิจอสังหาฯ ของตัวเองตั้งแต่เรียนปี 4 ช่วยธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่จบปริญญาตรีมาได้เพียงปีเศษ

อีกทั้งเขาโตมากับการเลี้ยงดูของคุณปู่และคุณลุง ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีความสุขุม ที่สำคัญก็คือท่านทั้งสองเป็นผู้ที่รู้คุณค่าของเวลาและการใช้เงิน เขาจึงถูกสอนให้ประหยัดไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย “คุณปู่จะสอนเสมอว่าคนเราต้องรู้จักทำงานหาเงิน อย่าหายใจทิ้งไปวันๆ โดยเปล่าประโยชน์ รู้คุณค่าของเงิน ต้องใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้ และอย่าเอาเงินล่วงหน้ามาใช้ คือ เงินในอนาคตยังไม่ได้แต่ใช้ล่วงหน้าไปแล้วไม่ดี ผมจึงถูกเลี้ยงดูมาแบบคนจีนโบราณ และผมชอบแนวคิดนี้จึงเอามาสอนลูกชายผมด้วยเช่นกัน เรื่องของการใช่เงินเพื่อให้ลูกมีวินัยเรื่องการใช้เงินตั้งแต่เล็กๆ แล้วพอมาเรียนบัญชี ผมจึงเป็นผู้ที่มีวินัยการเงินสูงมาก ผมชอบหาเงินมากกว่าใช้เงิน ภรรยายังบอกว่าผมเกือบจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่าไม่ขี้เหนียวนะ แต่รู้จักใช้เงินมากกว่า” เขาเล่าด้วยรอยยิ้ม

แม้เห็นหน้ายังอ่อนใสดูวัยรุ่นแบบนี้ แต่พลวัฒน์แต่งงานมาหลายปีแล้ว จนมีลูกชายตัวน้อยวัย 4 ขวบ เป็นโซ่ทองคล้องใจของครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขายอมรับว่าอาจจะแต่งงานเร็วไปสักหน่อยด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น เพราะเขาคบหากับแฟนตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนมั่นใจว่า เธอคือคนที่ใช่จริงๆ ก็แต่งเลย ไม่อยากรออะไรแล้ว จะได้มีลูกทันใช้นั่นเอง

แม้ว่าจะทำงานหลายบทบาท ทั้งงานส่วนตัว ธุรกิจของครอบครัว และบทบาทของความเป็นพ่อนั้น เขาก็สามารถรักษาทุกหน้าที่ไว้ได้เป็นอย่างดี “ผมเต็มที่กับทุกหน้าที่ที่ได้รับ ในฐานะผู้บริหารผมก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง ผมมาทำงานงานเช้าทุกวัน บริหารงานใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็น พร้อมก้าวไปด้วยกัน ทำให้ทีมงานมั่นใจว่า ไม่มีอะไรทำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมออาจจะยากบ้าง ใช้เวลานานบ้าง แต่ทุกอย่างทำได้ อย่ายอมแพ้ อย่าถอดใจ อะไรไม่รู้ก็ไปหาความรู้เพิ่ม ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง ซื้อหนังสือมาอ่าน ฟังเสียงจากอินเทอร์เน็ต เรียนออนไลน์ ใช้เวลา 1 ปี ผมอ่านเขียนพูดได้ ผมเชื่อคำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นเสมอ” เขากล่าวอย่างตั้งใจ

หลักในการทำงานของเขาก็คือต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะถ้าเป้าหมายชัดมักจะไม่หลงทาง จะรู้ว่าการทำงาน หรือการใช้ชีวิตจะไปในทิศทางใด เมื่อผิดพลาดจะได้รู้ตัว และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ