posttoday

‘เผชิญทะเลคลั่ง’ วสุ สุรัติอันตรา

21 ตุลาคม 2561

นักบริหารที่ทำงานเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ด้านการพักผ่อนระดับลักซ์ชัวรี่ แต่ในวันพักผ่อน วสุ สุรัติอันตรา

โดย วราภรณ์ ผูกพันธ์ ภาพ : วสุ สุรัติอันตรา

นักบริหารที่ทำงานเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ด้านการพักผ่อนระดับลักซ์ชัวรี่ แต่ในวันพักผ่อน วสุ สุรัติอันตรา เอ็กเซ็กคิวทีฟ ไดเรกเตอร์ บริษัท ปุริ วัย 43 ปี ผู้บริหารบริษัทที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนเชอรัลโปรดักต์ เช่น ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ สกินแคร์อโรมาเทอราปี และยังมี Spa Service คือ Panpuri Organic Spa และดูแล PANPURI เวลเนส อีกด้วย แต่เขากลับหลงใหลในกีฬาเอ็กซ์ตรีม เช่น การวิ่งฟูลมาราธอน และวิ่งอัลตร้าเทรล ซึ่งการเข้าแข่งขันในไอร์เอินแมนหลายๆ ครั้งต้องเผชิญกับทะเลคลั่งที่นิวซีแลนด์ เกือบจมน้ำเสียชีวิตในการแข่งขันฟูลมาราธอนที่กรุงเทพมหานคร หรือวิ่งเกือบตกหน้าผาที่กั้นระหว่างแม่น้ำกว้างกับทางแคบที่เวียดนาม แต่ทุกครั้งเขารอดชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย ด้วยประสบการณ์ สมาธิและสติล้วนๆ

เสี่ยงเป็นมะเร็ง ต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิต

‘เผชิญทะเลคลั่ง’ วสุ สุรัติอันตรา

ย้อนกลับไปในวัยเด็กก่อนจะเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่ง รักความท้าทายใหม่ๆ และก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกาย วสุเคยเป็นเด็กที่เป็นโรคยอดฮิตคือ ภูมิแพ้และหอบหืดขั้นรุนแรง ตั้งแต่เด็กเขาจึงออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้ แต่พอมีพื้นฐานด้านว่ายน้ำมาบ้าง พอก้าวเข้าสู่วัยทำงานที่มีความเครียดสะสมสูง เนื่องจากนั่งในตำแหน่งผู้บริหารและผู้ร่วมทุนในธุรกิจสปา ปัญญ์ปุริ เกิดผลกระทบต่อร่างกายคือในวัย 39 เขาถ่ายเป็นเลือดนานเป็นเดือน คุณหมอสันนิษฐานเกิดจากความเครียด การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอและดื่มน้ำน้อย ทำให้วสุกลัวกับโรคมะเร็งลำไส้เหมือนเช่นคุณพ่อ เขาจึงต้องปฏิวัติตัวเองด้านการใช้ชีวิตทั้งหมด

“เมื่อ 3 ปีก่อน ผมไม่สบาย ไม่ทราบสาเหตุ มีอาการถ่ายเป็นเลือด เริ่มจากน้อยๆ ไปหนักขึ้นเรื่อยๆ ใน 6 เดือน พออาการหนักขึ้นก็แอดมิตส่องกล้อง เพราะกลัวเป็นมะเร็งลำไส้เหมือนพ่อ หมอบอกเป็นกรรมพันธุ์ แล้วคุณพ่อเสียด้วยมะเร็ง ด้วยผมไม่ดูแลสุขภาพที่ดีนานเป็น 10 ปี ประจวบกับผมอ่อนแอ เป็นภูมิแพ้ค่อนข้างร้ายแรง ต้องพ่นเลย พอส่องกล้องผมไม่ได้เป็นมะเร็ง คุณหมอก็ไม่รู้สาเหตุทำไมถ่ายเป็นเลือด วินาทีที่หมอบอกว่าผมไม่มีเชื้อมะเร็ง ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกดีใจมาก โล่งอก คิดเลยว่าจะต้องดูแลตัวเอง ปรับไลฟ์สไตล์ใหม่แล้ว และผมปรับหักดิบเลย วันใหม่ คนใหม่”

วสุเริ่มปรับตัวเป็นคนใหม่ด้วยการวิ่งเพียง 1-2 กิโลเมตรก็วิ่งแทบไม่ไหวและหันมากินคลีน เลิกกินจังก์ฟู้ด ดื่มน้ำเยอะ หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างจริงจัง เริ่มเข้าวงการไตรกีฬาจากเพื่อนชวน เขาจึงรื้อฟื้นการว่ายน้ำอย่างหนัก วิ่งระยะทางไกลและปั่นจักรยานอย่างจริงจังเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เริ่มจากวิ่งเบาๆ ต่อด้วยวิ่งต่อเนื่องเริ่มต้น 3 กม. มาวิ่ง 10 กม. วิ่งได้ 4 เดือน เพื่อนชวนมาเล่นไตรกีฬา โดยวสุท้าทายตัวเองแข่ง 3 ชนิดกีฬา วิ่ง ว่ายน้ำ และปั่นจักรยาน โดยเริ่มฝึกจากว่ายน้ำระยะยาว 1,500 เมตร ปั่น 40 กิโลเมตร วิ่ง 10 กิโลเมตรต่อเนื่องกัน เขาเริ่มว่ายน้ำ 45 นาที ได้ 1,500 เมตร การฝึกซ้อมช่วยพัฒนาให้ปอดทำงานดี ระบบหายใจของเขาให้ดีขึ้น

เกือบจมแม่น้ำเจ้าพระยา

‘เผชิญทะเลคลั่ง’ วสุ สุรัติอันตรา

ไตรกีฬากับการเป็นผู้บริหาร ช่วยเอื้อต่อการทำงานของวสุคือ หาความท้าทายใหม่ๆ ชนิดที่วสุคลั่งไคล้ได้แก่ ไตรกีฬา นักวิ่งอัลตร้าเทรล โดยรายการไตรกีฬารายการแรกที่วสุชิมลางแล้วเกือบเอาชีวิตไม่รอดคือ แบงค็อก ไตร แอดเทอร์รอน ปี 2015 ถือเป็นรายการใหญ่ จัดว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระราม 8 ปรากฏเขาสามารถว่ายน้ำได้ระยะ 1,500 เมตร แต่เสี่ยงกับชีวิตสุดๆ เพราะขณะที่ว่ายน้ำรอบแรกจาก 2 รอบ ด้วยจำนวนผู้เข้าแข่งขันเยอะมาก ประกอบกับการอ่อนประสบการณ์ของวสุ ทำให้เขาว่ายแนวติดทุ่นมากเกินไป ทำให้ตัวเขาถูกดันตัวไปติดอยู่ใต้ทุ่น เขาพยายามว่ายขึ้นมาหายใจนาน 3 รอบ กว่าตัวเองออกพ้นทุ่นได้ ซึ่งเสี่ยงมากๆ แต่ว่ายน้ำจบแล้วมาปั่นจักรยานต่อได้เพียง 5 กิโลเมตร เจ้าภาพต้องหยุดการแข่งขันเพราะทำให้รถติดมาก ซึ่งเป็นปัญหาค้างคาใจวสุมากกว่า หากการแข่งขันไม่จบสิ้นเขาจะสามารถเข้าเส้นชัยได้ไหม และเข้าด้วยเวลาเท่าไร

“แข่งไตรกีฬาครั้งแรกของผมเป็นการว่ายน้ำ วันนั้นคลื่นลมไม่แย่ แต่ด้วยเป็นครั้งแรกของผม ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นเพราะต้องว่ายใต้สะพานพระราม 8 แม่น้ำเจ้าพระยาน่ากลัว และผมไม่เคยว่ายน้ำในแม่น้ำมาก่อน ซึ่งไม่เหมือนว่ายในทะเล บึงหรือทะเลสาบ เมื่อแม่น้ำมีกระแสน้ำ เราต้องเข้าใจในกระแสน้ำ ต้องเผื่อแรงไว้ เพราะมีว่ายทวนและตามน้ำ เราต้องกะแรงให้ถูกเพื่อเก็บแรงไว้ว่ายทวนน้ำด้วย ว่าย 2 รอบ รอบละ 700 เมตร ผมตื่นเต้นที่สุด ด้วยพื้นที่ว่ายที่จำกัดเพราะคนเยอะ ผมต้องว่ายหลบมือเท้าของเพื่อนเพราะทางแคบ แต่ผมพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้ ซึ่งจุดที่เสี่ยงที่สุด คือจุดที่ตอนเลี้ยวผม ว่ายไปติดใต้ทุ่นจากการถูกเบียดเข้าไปอยู่ใต้ทุ่น ซึ่งเป็นพลาสติกขนาดใหญ่ กว้าง 2 คูณ 2 เมตรต่อกัน 4 ทุ่น เมื่อผมไปอยู่ข้างใต้ ขึ้นก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ได้ พยายามผงกหัวขึ้นแล้วติด ตอนนั้นยอมรับตกใจ ทุ่นใหญ่มาก หนัก หัวชน ผมพยายามรวบรวมสติ เพราะมองไม่เห็นว่าตรงไหนคือทางออก มืดไปหมด ไม่รู้ทิศทางว่าต้องดำไปทางไหนแล้วพ้น รู้สึกผมพยายามอยู่ 3 รอบ รู้สึกตัวว่าใกล้หมดลม และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นกับเรา ซึ่งกินเวลาเพียงหลักวินาที แต่ผมรู้สึกว่าติดอยู่นานมาก ครั้งที่ 3 ตัดสินใจกลั้นใจที่ใกล้หมดลม ดำให้ไกลที่สุดครั้งสุดท้ายแล้วก็พ้นออกมา หันกลับไปมอง ถ้าคราวนี้ผมดำไม่พ้นไม่รอดแน่เพราะไม่มีใครเห็นผม ขอความช่วยเหลือไม่ได้” ถ้าไม่มีสติน่าจะจมไปแล้ว เกือบจม แต่วสุไม่รู้สึกเข็ดขยาด ประสบการณ์สอนให้เขามีสติว่าอย่าตื่นเต้น อย่าว่ายใกล้ทุ่น เพราะจะถูกคนเตะเข้าไปใต้ทุ่นได้ง่าย

เผชิญทะเลคลั่งที่นิวซีแลนด์

‘เผชิญทะเลคลั่ง’ วสุ สุรัติอันตรา

วสุท้าทายตัวเองมากขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เขาเข้าร่วมการแข่งขันมนุษย์เหล็ก หรือไอร์เอินแมน นิวซีแลนด์ ปี 2017 ซึ่งถือเป็นอีกรายการที่โหดและเป็นรายการที่เก่าแก่ระดับต้นๆ ของโลก เพราะเป็นการจัดแข่งขันว่ายน้ำในทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก คือ Taupo Lake ระยะว่ายน้ำ 3,800 เมตร ปั่น 180 กิโลเมตร วิ่ง 42.2 กิโลเมตร ทำ 3 กิจกรรมติดต่อกัน ถือเป็นระยะสูงสุดของไอร์เอินแมน ซึ่งสนามนี้ขึ้นชื่อว่ามีอากาศแปรปรวนที่สุดในโลก แม้เตรียมตัวแข่งขันล่วงหน้า 3 วันระหว่างที่ฝึกซ้อมเพื่อให้ชินกับสนาม อากาศดีมากๆ แต่ในช่วงวันแข่งบรรยากาศกลับแปรปรวนอย่างหนัก คลื่นลมในทะเลสาบพัดรุนแรงมาก น้ำกลายเป็นสีดำทะมึน เป็นอุปสรรคก้อนมหึมา

“ครั้งนั้นผมเป็น 1 คนไทย 20 คนที่เข้าร่วมแข่งขัน แต่ปรากฏพอวันแข่งจริง คืนนั้นอากาศเริ่มไม่ดี มีพายุ ถือว่าอากาศไม่ดีเลย ไม่มีแสงแดด มืดครึ้ม เราตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มแข่งขัน มีพายุเล็กๆ มีฝนตกปรอยๆ เริ่มปล่อยตัวตอน 6 โมงเช้า โดยมีคนรวมหลายพันคนมาจากทั่วโลก เริ่มว่ายน้ำก่อน ปรากฏพอเริ่มแข่งคลื่นแรงมาก สูงเกือบเมตร ทะเลสาบเหมือนทะเล มีลมพัด มีทุ่น เอียงไปมา พัดแรงมาก ตอนนั้นดูน่ากลัว มันเสี่ยงต่อจิตใจและร่างกาย ทุกคนกังวลเพราะคลื่นแรงมาก จะไหวไหม แต่มาถึงแล้ว บินมาตั้งไกล และขับมาอีก 4 ชั่วโมง ซ้อมก็แล้ว หันกลับไม่ได้” วสุเปรียบเทียบตัวเองขณะว่ายน้ำในทะเลสาบด้วยคลื่นลมแรงมาก พัดเขาเหมือนผ้าที่ถูกเหวี่ยงอยู่ในเครื่องซักผ้า มองไม่เห็นแม้ทุ่นเพราะคลื่นสูงจนบังทุ่น ทำให้นักแข่งว่ายน้ำเบี้ยวไปเบี้ยวมา ทำให้เปลืองแรง เหนื่อยเร็ว บางคนว่ายเท่าไรก็ไม่ถึงเส้นชัยเสียที มองไม่เห็นทุ่น แต่ต้องว่ายไปกลับเที่ยวละ 2 กิโลเมตร

“ผมใช้เวลาว่ายน้ำ 1.45 ชั่วโมง ซึ่งถือว่านานมากจากที่ตั้งเป้าว่ายไปกลับแค่เกือบครึ่งชั่วโมง แต่โชคดีที่ผมทำเวลาได้โอเค ไม่ต้องโดนคัดออก แต่ตอนว่ายน้ำช่วงขากลับผมต้องเสียเวลาว่ายไปเกาะทุ่นเพราะคลื่นแรงจนผมรู้สึกจะอาเจียน เวียนหัว แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ พยายามรวบรวมสติ และน้ำเย็นมากๆ แค่ 18 องศาเท่านั้น ถือเป็นการว่ายน้ำครั้งที่โหดหินมาก” ด้วยอุปสรรคในการว่ายน้ำทำให้คนไทยถูกคัดตัวเองถึง 5 คน ใน 20 คนที่ไปแข่งทั้งหมด ซึ่งมีคนทำไม่จบการแข่งขันมากถึง 20% จากผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลก ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย และโชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต

สิ่งที่วสุได้จากการแข่งขันครั้งนี้ คือ สมาธิและสติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่าสุขภาพร่างกาย เพราะสติจะนำเราสู่เส้นชัยได้ ไตรกีฬาเป็นกีฬาของจิตใจ เป็นการแข่งขันระยะไกล ที่ใช้ความชำนาญหลายๆ อย่างรวมกัน ฉะนั้นต้องฝึกฝนทั้งจิตใจและร่างกาย ยิ่งในรายการไอร์เอินแมน เป็นระยะที่ไกลที่สุด ผู้เข้าแข่งขันจึงต้องฝึกฝนอย่างหนักนานเป็นปี จึงต้องมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมสูงมาก

เกือบตกผาและแม่น้ำที่เวียดนาม

‘เผชิญทะเลคลั่ง’ วสุ สุรัติอันตรา

ครั้งล่าสุด วสุเพิ่งร่วมแข่งขันรายการ เวียดนาม เมาเท่น มาราธอน 2018 แข่งที่ซาปา ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความสวยงามมากๆ อยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม วิ่งไปก็ได้เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงาม เพราะประกอบไปด้วยภูเขาสูงถึง 3,400 เมตร เป็นการวิ่งอัลตร้าเทรล ระยะ 73 กิโลเมตร เป็นการวิ่งบนภูเขา ถือเป็นบทพิสูจน์ร่างกายวสุก้าวสำคัญ เพราะเขามีเวลาซ้อมน้อยมาก และไม่ได้ประเมินสนามก่อนการแข่งขันว่าจะวิบากขนาดไหน จนเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง

“รายการนี้ผมประมาท ไม่ได้ฝึกซ้อมเลย พอไปถึงปรากฏเป็นสนามที่ยากตลอดเส้นทาง เพราะฝนตกเยอะ พายุเพิ่งเข้าทำให้เส้นทางเดินนิ่ม ลื่น แฉะ ตอนที่ลงเขา ทางมันยากมากๆ ลื่น และทางเป็นหินเพราะต้องวิ่งบนภูเขาระยะทาง 2,600 กว่าเมตร เขาก็สูง ระหว่างแข่งผมวิ่งหกล้มแบบกลิ้งเลย 4-5 ครั้ง โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ครั้งหนึ่งผมล้มตรงไหล่เขาเกือบตกแม่น้ำเพราะทางแคบ โชคดีที่มีคนคว้าตัวผมทันก่อนที่จะตกน้ำ ทั้งๆ ที่วิ่งออกไปได้แค่ 10 กิโลเมตรเท่านั้นเอง”

รวมเวลาวิ่งทั้งหมดของวสุราว 15 ชั่วโมง เริ่มวิ่งตั้งแต่ตี 4 ฟ้ายังมืด ต้องวิ่งผ่านทั้งภูเขา ลำธาร คันนาแบบขั้นบันได ถือเป็นภาพธรรมชาติสีทองที่สวยงามมาก ต้องวิ่งผ่านพื้นผิวที่ลื่นและขรุขระ ทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บ คือรองเท้ากัดเท้าเป็นแผลพุพองหลายตำแหน่ง

“วิ่งๆ ไปรองเท้าก็กัดเจ็บมากๆ แต่ผมต้องอดทน เนื่องจากลุยผ่านน้ำ รองเท้แฉะ เกิดการเสียดสีเท้าจึงพองได้ง่าย เส้นทางทุรกันดารแต่สวย มีหินแหลมคมเยอะมากๆ เท้าผมมีอาการเริ่มพองหลังจากผ่านไป 40 กิโล แม้รู้ว่าเท้าพองก็ห้ามถอดรองเท้า เพราะหากเห็นแผลแล้วจะใจเสีย ระหว่างทางก็ต้องพก First Aid ไว้พยาบาลตัวเองเบื้องต้น รวมทั้งอาหาร โชคดีที่ผมไปวิ่งกับเพื่อนอีก 9 คน จึงช่วยเหลือกันได้ ต้องกินยาแก้ปวดระหว่างวิ่ง 2 เม็ด แม้จะปวดขามากๆ เพราะเท้าระบมจากไม่ได้ซ้อม กล้ามเนื้อล้า แต่ผมไม่หยุด มีจุดพัก 7 จุด ผมกับเพื่อนพักเพื่อเช็กเวลาแล้ววิ่งต่อ ผมรู้สึกจบมาภูมิใจ คนพูดว่าไม่น่าเชื่อว่าจะจบ ทางโหดกว่าที่คิดไว้ เราวิ่งเสร็จตอน 2 ทุ่ม”

ครั้งหน้าวสุมีเป้าหมายแข่งอัลตร้าเทรลที่เชียงใหม่กับระยะทาง 100 กิโลเมตร ถือเป็นอีกหนึ่งรายการที่ท้าทายและได้วิ่งผ่านธรรมชาติ วิ่งขึ้นไปเห็นป่าเขา ต้นไม้อันสวยงามที่สองขาของเราเท่านั้นจะพาเขาไปเห็นในสถานที่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญคือได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้เต็มปอด เรียกว่าวสุเสพติดการท้าทายไปแล้ว

“ผมเสพติดความท้าทาย ผมอยากลองว่าเราจะทำได้ไหม หากทำไม่ได้ก็แค่กลับไปซ้อมใหม่ ผมไม่กลัวความพ่ายแพ้ และไม่กลัวความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวทำให้เราได้เรียนรู้และนำกลับมาพัฒนาปรับปรุงตัวเอง อย่างวิ่งเทรลที่หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ผมวิ่งมีเท้าพลิก พักแล้วต้องวิ่งต่อ เช่น วิ่งเทรลที่ตะนาวศรี เป็นเทรลอันดับต้นๆ ที่ยากของไทย ผมข้อเท้าเจ็บนาน 1 ปี แต่ก็คุ้มค่าเพราะทำให้ผมได้ฝึกข้อเท้าว่าวิ่งอย่างไรให้ข้อเท้าแข็งแรง ทำให้วิ่งที่เวียดนามผมข้อเท้าไม่พลิกเลย ผมคิดว่าคนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิต เช่น ตัวผมไม่อยากเป็นมะเร็ง อยากมีร่างกายที่แข็งแรง อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป คือทุกคนต้องหาแรงบันดาลใจให้เจอในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วคุณจะรู้สึกสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ได้”