posttoday

ชลธิชา ตาสมัยเอี่ยม ‘วันนี้เราอาจวิ่งไม่ได้ แต่เราเดินในทางของเราได้’

16 กันยายน 2561

ความฝันของเด็กสาวคนหนึ่งที่วาดฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะมีอนาคตที่สดใส ได้ทำงานที่รัก

โดย พุสดี สิริวัชระเมตตา
 
ความฝันของเด็กสาวคนหนึ่งที่วาดฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะมีอนาคตที่สดใส ได้ทำงานที่รัก ต้องดับวูบลงทันที เพราะอุบัติเหตุตกรถไฟครั้งนั้น ทำให้เธอจำต้องรักษาชีวิตรอด ด้วยการตัดขาขวาทิ้งไป
 
ฝันร้ายในครั้งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของ ปูเป้-ชลธิชา ตาสมัยเอี่ยม พนักงานต้อนรับของบริษัท ฟู้ดแพชชั่น เจ้าของตำนานความอร่อย “บาร์บีคิวพลาซ่า” ไปตลอดกาล เพราะความไม่พร้อมทางร่างกายทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนทั้งที่ยังไม่จบมัธยมต้น ตัดใจจากทุกความฝันที่เคยมี พร้อมใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งความจริงที่ไม่มีวันเหมือนเดิมด้วยความหวังและพลังบวกที่หล่อเลี้ยงหัวใจดวงน้อยๆ ว่า “อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีที่แค่เสียขา แต่ยังมีดวงตาและสมองที่สมบูรณ์พร้อมจะดำรงชีวิตต่อไป”
 
เมื่อความจำเป็นของชีวิตบังคับ

ชลธิชา ตาสมัยเอี่ยม ‘วันนี้เราอาจวิ่งไม่ได้ แต่เราเดินในทางของเราได้’

 
แม้เหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากฝันร้ายจะล่วงเลยมาหลายปีแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์ที่ไม่ลืมนั้นยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของปูเป้ไม่มีวันจาง
 
เธอค่อยๆ กลั่นกรองเหตุการณ์ในวันนั้นที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่า ถ้ามีโอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้จริง มีเพียงแค่ช่วงชีวิตเดียวที่เธออยากกลับไปแก้ไข ก็คือเหตุการณ์ในวันนั้น ซึ่งเกิดขึ้นตอนเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เทอม 1
 
ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย พ่อแม่แยกทางกัน ปูเป้ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน ซึ่งเธอบอกว่า จะใช้คำว่า “สลัม” ก็ไม่ผิด เธออาศัยอยู่กับยายและแม่ เพื่อจุนเจือครอบครัว เมื่อมีเวลาว่างเธอต้องแบกถังพลาสติกบรรจุน้ำแข็ง สำหรับแช่น้ำดื่ม 12 ขวดให้เย็นฉ่ำเพื่อนำไปขายบนรถไฟ
 
“วันหยุดทุกครั้งเราก็จะแบกน้ำไปขายบนรถไฟกับเพื่อนๆ แถวบ้าน จนวันที่เกิดเหตุ จำได้ว่าวันนั้นเราแอบขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ ซึ่งเป็นโบกี้เปล่า กะว่าไปถึงสถานีสามเสนก็จะกระโดดลง เพราะสถานีนี้รถไฟจะไม่จอด”
 
สำหรับคนนอกฟังแล้วอาจมองว่านี่คือพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ แต่สำหรับเด็กที่เติบโตมากับอาชีพเสริมนี้ นี่คือภาพคุ้นตา
 
“เราก็เคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง เพราะเด็กที่มาขายของส่วนใหญ่ที่บ้านไม่ได้ให้เงินติดตัวมามาก เราเองก็พกติดตัวแค่ 10 บาท เพื่อเป็นเงินทอน เพราะฉะนั้นถ้าอยากประหยัดค่ารถก็ต้องอาศัยขึ้นรถไฟโบกี้เปล่าจากสถานีหนึ่งมาลงอีกสถานีหนึ่ง เพียงแต่ตอนลงต้องอาศัยจังหวะกระโดดลง แต่ที่ไม่คิดคือวันนั้นเราจะพลาด”
 
เล่ามาถึงตรงนี้ ปูเป้ค่อยๆ คลี่ยิ้ม แล้วเผยต่อว่า “วินาทีที่กระโดดพลาด มันเหมือนดูหนังแล้วภาพตัดไปเลย เราจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็นอนสลบอยู่ห้องไอซียูมา 9 วันแล้ว”
 
หลังจากได้ลืมตาขึ้นมาพบกับโลกความจริงอีกครั้ง ในตอนแรกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเผชิญกับความจริงโหดร้ายแค่ไหน
 
“พอฟื้นขึ้นมาตอนแรกยังสะลึมสะลือ คิดแต่ว่าต้องไปโรงเรียน จนได้คุยกับญาติถึงได้รู้ว่าตอนเกิดเหตุ เราเสียเลือดมาก จนใครเห็นก็คิดว่าไม่รอดแน่ เพราะภาพที่ทุกคนเห็นคือ มือข้างหนึ่งเราจับราวรถไฟไว้ แล้วก็โดนรถไฟลากไปจนหมดแรงเลยยอมปล่อยมือ ส่วนสภาพร่างกายตอนนั้นอาการสาหัสพอควร คุณหมอก็บอกว่าต้องตัดขาขวาทิ้ง เพราะจากเดิมที่คิดว่าจะรักษาได้ ปรากฏว่าเลือดไม่ไปเลี้ยง ถ้าปล่อยไว้จะทำให้เลือดเสียไหลเข้าสู่หัวใจ ทำให้เสียชีวิตในที่สุด ตอนนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้ ครอบครัวเลยตัดสินใจให้คุณหมอตัดขาขวามาจนถึงบริเวณเหนือเข่าทิ้ง ส่วนขาซ้ายซึ่งสาหัสไม่แพ้กัน เพราะกระดูกแตกหมดเลย คุณหมอรักษาด้วยการให้ดามขาเหล็กไว้ข้างใน”
 
ถามว่า ตอนนั้นทำใจยากแค่ไหนที่ต้องเสียขาไป ปูเป้ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า ตอนนั้นไม่ได้คิด จะเริ่มรู้สึกก็เมื่อต้องมาผจญภัยในโลกกว้างอีกครั้ง
 
ชีวิตติดลบได้เริ่มต้นอีกครั้ง

ชลธิชา ตาสมัยเอี่ยม ‘วันนี้เราอาจวิ่งไม่ได้ แต่เราเดินในทางของเราได้’

 
หลังจากรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 ปีเต็ม ในที่สุดปูเป้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล กลับมาใช้ชีวิตวัยรุ่นอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของชีวิต
 
“อย่างที่บอกว่าตอนอยู่โรงพยาบาลรักษาตัวเรายังไม่ค่อยรู้สึก แต่พอกลับมาใช้ชีวิตประจำวัน เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ถึงจะใส่ขาเทียมแต่เวลาอยากใส่ขาสั้นก็ใส่ไม่ได้แล้ว หรือถึงแม้ตอนนั้นกลับไปเรียนแล้วอาจารย์จะช่วยให้เรียนชั้นล่าง ไม่ต้องขึ้น-ลง บันได แต่เราเองตัดสินใจลาออก เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันก็จบไปหมดแล้ว”
 
ช่วงที่ชีวิตยังเคว้งแต่ไม่สิ้นหวัง ปูเป้ไปร่วมกลุ่มศูนย์คนพิการพระมหาไถ่ พอรู้ว่าที่ศูนย์คนพิการที่พัทยา จะเปิดสอนการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐานก็ไปเรียน ไปฝึกอาชีพที่นั่น จนสุดท้ายได้เข้าไปทำงานที่ฝ่ายผลิตของโรงงานแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว เพื่อหารายได้ช่วยจุนเจือครอบครัว
 
11 ปีเต็มที่เธอตั้งอกตั้งใจทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ เลิกงานก็ไปหารายได้เสริมที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือ ช่วยขายเคสโทรศัพท์ ติดฟิล์มสมาร์ทโฟน ถึง 4 ทุ่ม
 
“ตอนนั้นเราแค่คิดว่าด้วยสภาพร่างกายของเราทำให้หางานยาก เลยก้มหน้าก้มตาทำงานไป ถึงตอนนั้นเงินเดือนจะไม่สูงแต่ก็อยู่ได้ อาศัยหารายได้เสริม จนพอเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนได้เปิดโลกเลย เราได้ลองหางานใหม่ดูว่ามีที่ไหนรับสมัครคนพิการบ้าง ปรากฏว่าไปเจองานแม่บ้านโรงแรม เลยไปลองทำ ปรากฏว่าทำได้ 9 เดือนก็ลาออก มาได้งานที่ฟู้ดแพชชั่น เพราะเรารู้ตัวว่าชอบทำงานที่ได้พบปะผู้คนมากกว่า พอมาได้งานเป็นพนักงานต้อนรับที่นี่ รู้สึกว่าใช่เลย” ปูเป้ บอกเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
 
“เราเริ่มต้นจากใช้คอมพิวเตอร์พอเป็น ฝึกมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซลได้แล้ว ค่อยๆ เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ จนตอนนี้จองตั๋วเครื่องบินให้กับผู้บริหารเป็นแล้ว” เธอบอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกายที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
 
ทุกวันนี้การได้ประจำการอยู่เบื้องหลังเคาน์เตอร์พนักงาน ณ ศูนย์บัญชาการใหญ่ของฟู้ดแพชชั่น เป็นด่านหน้าเพื่อต้อนรับแขกผู้มาติดต่อที่สำนักงานใหญ่ คือ ความสุขจากการทำงานที่รัก เธอไม่เพียงทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่องอย่างเต็มที่ที่มาทำงาน
 
ไหนๆ ก็ชวนคุยมาถึงเรื่องงาน ปูเป้ถือโอกาสบอกเล่าถึงหนึ่งในความภาคภูมิใจในการทำงานที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็ทำให้หัวใจคนทำงานที่รักในงานบริการอย่างเธอหัวใจพองโตและจดจำไม่ลืม
 
“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีแขกมาติดต่อ เราก็ทำหน้าที่ของเราตามปกติ คือพยายามให้ข้อมูลกับเขาอย่างสุดความสามารถ ปรากฏว่าพอเขาจะกลับมาแลกบัตรคืน เขาให้บัตรดูหนังฟรีมาเป็นการตอบแทน มันทำให้เรารู้สึกว่านี่คือผลลัพธ์จากการทำงานอย่างตั้งใจ ไม่เคยมองว่าหน้าที่ของตัวเองไม่สำคัญ การทำงานที่นี่นอกจากจะเปิดโอกาสให้ได้ทำงานที่ชอบ เพื่อนร่วมงานที่นี่ก็เป็นกันเอง ไม่เคยทำให้รู้สึกแย่ หรือคิดว่ามีปมด้อยแล้ว ยังปลุกพลังบวกให้เราบอกกับตัวเองเสมอว่า ในเมื่อเราเป็นแบบนี้แล้วก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เรายังมีลูกชายที่ต้องดูแล เขาเป็นพลังที่ทำให้เรารู้สึกยอมแพ้ไม่ได้สักนาที”
 
ยิ้มให้กับชีวิตใหม่ (อีกครั้ง)

ชลธิชา ตาสมัยเอี่ยม ‘วันนี้เราอาจวิ่งไม่ได้ แต่เราเดินในทางของเราได้’

 
ตลอดเวลาที่ฟังเรื่องราวของปูเป้ สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจน คือ เธอไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเศร้า หรือรู้สึกตำหนิในโชคชะตาแม้แต่น้อย หากแต่มองว่านี่คือโชคชะตาที่ต้องยอมรับ
 
“เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ อยู่กับมันให้ได้”
 
ด้วยเข็มทิศชีวิตนี้นี่เองทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร สาวหัวใจแกร่งไม่เคยปล่อยให้ร่างกายที่ไม่ครบ 32 มาเป็นอุปสรรค  
 
“เวลาทำอะไร เราจะไม่คิดไปก่อนว่าเราทำไม่ได้ ถึงเราจะเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร ขอแค่กายพร้อม ใจพร้อมก็พอ วันนี้เราอาจจะวิ่งไม่ได้ แต่เราเดินในแบบของเราได้ เราแค่ทำเต็มที่ที่สุด ออกมาจากกรอบที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ มั่นใจในตัวเอง อาจจะมีหลายอย่างที่เราทำไม่ได้เหมือนคนอื่น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา อย่าปล่อยให้สายตาหรือคำดูถูกของคนอื่นมาเป็นอุปสรรคของเรา”
 
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ปูเป้บอกว่า ขุมพลังบวกที่ทรงอานุภาพของเธอคือ “ลูก”
 
“เราย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า เราทำเพื่อใคร ชีวิตนี้เราทำเพื่อลูก ตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเรียนหนังสือสูงๆ ไม่ให้เขาต้องลำบาก วางแผนอนาคตให้เขาด้วยการทำประกันเผื่อไว้ ด้วยสภาพที่เราเป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะ
อายมั้ย แต่เราพยายามใช้ความรักของเราเติมเต็มให้เขา ถึงวันนี้เราจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ตาม เขาคือกำลังใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายอมแพ้ไม่ได้สักนาที ทุกวันนี้เราพยายามถ่ายรูป บันทึกเรื่องราวของเขาไว้เพื่อให้เขาดูตอนโต”
 
เมื่อมองย้อนกลับไป ถามว่าวันนี้เธอมองว่าตัวเองขาดอะไรหรือไม่ นอกจากร่างกายที่ไม่ครบ 32 เหมือนใครๆ สาวหัวใจแกร่ง แถมพลังบวกล้น ตอบอย่างฉะฉานว่า “ไม่เลย เราอาจจะดีกว่าหลายๆ คนด้วยซ้ำที่เกิดมาตาบอด หรือลำบากกว่าเรา เราเองเป็นแค่นี้ แค่ต้องเสียขาไป เพราะฉะนั้นเราต้องสู้ต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับเราไม่ใช่ฝันร้าย ฟ้าอาจจะสร้างให้เราเป็นแบบนี้”
 
อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืม ณ สถานีรถไฟ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปูเป้เข็ดขยาดจากรถไฟ
 
“ไม่ได้กลัวการขึ้นรถไฟค่ะ ยังขึ้นได้ปกติ เราคิดเสมอว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของเราเอง จริงๆ ยายก็เคยเตือนนะว่า อย่ากระโดดขึ้น-ลงรถไฟแบบนั้น มันอันตราย เพราะมีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงหลายคนที่เคยเผชิญกับอุบัติเหตุเลวร้ายแบบนี้ แต่ด้วยความเป็นเด็ก เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ทำแบบนี้ จำได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยบอกยายด้วยซ้ำว่า ถ้าวันหนึ่งคนที่โชคร้ายเป็นเรา เราขอยอมตาย แต่ไม่ยอมพิการ แต่พอวันหนึ่งมาเจอกับตัวเองจริงๆ เราก็ต้องผ่านมาให้ได้” ปูเป้ทิ้งท้าย