posttoday

วิทิดา ตรังอดิศัยกุล + เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา 2 พี่น้องความต่างที่ลงตัว

28 กรกฎาคม 2561

2 ศรีพี่น้อง ที่มีนิสัยต่างขั้วกันอย่างชัดเจน เพราะพี่สาว “เมธ์” เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา

โดย วราภรณ์ ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน 

2 ศรีพี่น้อง ที่มีนิสัยต่างขั้วกันอย่างชัดเจน เพราะพี่สาว “เมธ์” เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บางกอก แคปปิตอล ดีกรีปริญญาโทถึง 2 ใบ จากคณะบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี (University of Wisconsin-Milwaukee) และปริญญาโทด้านการเงิน ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน (University of Wisconsin-Madison) ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนมือฉมัง

ส่วนน้องสาว “มิ้ง” วิทิดา ตรังอดิศัยกุลดีกรีศึกษาจบปริญญาตรีด้านการตลาด และปริญญาโทด้านอินเตอร์เนชั่นแนล บิซิเนส แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน วิทิดา คือเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่เกิดจากความชอบส่วนตัว ได้แก่ ทำเครื่องประดับผมแบรนด์ เทด อะ พอร์ตเตอร์ และกระเป๋าปักชื่อสวยงามว่า เนมเทค ที่โด่งดังในหมู่เซเลบริตี้

วิทิดา ตรังอดิศัยกุล + เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา 2 พี่น้องความต่างที่ลงตัว

ทั้งสองมีนิสัยแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เพราะพี่สาวนอกจากเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่เก่ง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาก ในทางกลับกันน้องสาวมีความเป็นอาร์ติสต์มากกว่า ใช้ชีวิตแบบชิลมาก และมีการยึดหลักธรรมะคือความสุขอยู่ ณ ปัจจุบัน

วิทิดา เล่าด้วยรอยยิ้มที่สดใสว่า พี่เมธ์อายุมากกว่าเธอ 4 ปี และเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันมาตลอดคือ มาแตร์เดอีวิทยาลัย ที่กำลังจะจัดงาน “MD Run 2018 วิ่งเพื่อครู” จัดโดยโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย สมาคมนักเรียนเก่า และสมาคมผู้ปกครองและครูจัดงานฉลองครบรอบ 90 ปี ในวันที่ 19 ส.ค.นี้

แม้เรียนโรงเรียนเดียวกันและเป็นพี่น้องกันแต่นิสัยไม่เหมือนกัน กล่าวคือ พี่เมธ์จะมีการคิดที่เป็นระบบระเบียบมากกว่า ในทางกลับกันน้องมิ้งจะไม่ค่อยชอบวางแผนในระยะยาวมากนัก

“ตอนเด็กๆ ครูชอบมาฟ้องพี่สาวว่า มิ้งอยู่โรงรียนชอบทำผิดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วยังฝากพี่สาวไปบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ แล้วมิ้งก็จะโดนพี่สาวดุ มิ้งก็มักคิดว่าทำไมพี่สาวดุจัง เพราะเขาก็คิดว่าทำไมน้องทำอย่างนี้นะ

แล้วเวลาพี่เมธ์นำเรื่องความซนของมิ้งไปรายงานให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง มิ้งก็คิดว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำไมพี่ต้องมาบอกท่านด้วย แต่มิ้งเข้าใจว่าด้วยความเป็นพี่ จะได้หาวิธีแก้ไข แต่ตอนนั้นมิ้งยังเด็ก ก็คิดว่าเรื่องแค่นี้ช่วยกันปิดก็ได้” วิทิดา เล่า

ฝ่ายพี่สาวเล่าบ้างว่า ถ้าไม่นำความไปบอกคุณพ่อคุณแม่ หากคุณครูรู้ เธอก็โดนดุน่ะสิ แต่น้องสาวคิดว่าทำไมพี่เมธ์ขี้ฟ้อง เอะอะก็ฟ้อง

นั่นคือเรื่องราวตอนเด็กๆ แต่วีรกรรมเด็ดๆ ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อครั้งที่เมธ์วดีต้องไปศึกษาต่อปริญญาโทยังสหรัฐอเมริกา ตัวเองกลัวเหงาก็เลยชวนน้องสาวที่ศึกษาจบชั้นมัธยมปลายพอดี และกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาตรีไปเรียนด้วยกันที่สหรัฐอเมริกา เพราะด้วยความที่ทั้งคู่สนิทกันมาก เพื่อนพี่สาวก็เหมือนเพื่อนน้องสาว ตัวติดกันตลอด พี่สาวไปไหน น้องไปด้วย

คุณพ่อคุณแม่จึงส่งทั้งคู่พ้นอ้อมอกไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นครั้งแรก แล้วก็เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รถพังไปทั้งคัน แต่ด้วยความแสบเมื่อวัยรุ่นทั้งคู่ช่วยกันปกปิดเป็นความลับมานานถึง 20 ปี แต่เพิ่งเผยความจริงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมานี่เอง จะสนุกสนานแค่ไหน ไปอ่านต่อได้เลย

“พี่เมธ์เป็นซูเปอร์วูแมน”วิทิดา ตรังอดิศัยกุล

วิทิดา ตรังอดิศัยกุล + เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา 2 พี่น้องความต่างที่ลงตัว

วิทิดา เล่าว่า เธอได้ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา เพราะต้องตามพี่สาวไปเรียนด้วยกันที่นั่น โดยเมธ์วดีติดต่อโรงเรียนให้ทั้งหมด และทำหน้าที่พี่ที่ดีช่วยแก้ไขปัญหาให้น้องได้เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีเลย โดยไม่ต้องปรับพื้นฐานภาษาก่อน รวมทั้งขับรถไปรับไปส่งน้องเป็นอย่างดี

“ระยะแรกๆ ที่มิ้งไปอยู่อเมริกาที่วิสคอนซิน อากาศหนาวมาก มิ้งก็ป่วยมาก พี่เมธ์ดูแลทำข้าวต้มให้น้องกิน ดูแลน้องดีมากๆ เพราะกลัวน้องขอกลับบ้าน แล้วพี่จะเหงา (หัวเราะ) อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน พี่เมธ์พาน้องลุยหิมะกลับบ้าน มิ้งจำได้ว่าวันแรกที่ไปถึง พี่เมธ์ไปรับที่สนามบิน พอกลับบ้านเจอซูชิ มีขนมหวานวางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้น้องอยากอยู่กับพี่

เธอเล่าต่ออย่างสนุกว่า จนพี่เมธ์เรียนจบปริญญาโทหนึ่งใบแล้ว ต้องไปเรียนต่อโทอีกใบในอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งซึ่งอยู่มิชิแกน

“พี่เมธ์ก็พามิ้งกับเพื่อนพี่อีก 3 คนไปช็อปปิ้งกันที่เอาต์เล็ต ต้องขับรถกันไปไกลมาก ระหว่างทางเกิดพายุหิมะถนนก็เต็มไปด้วยหิมะ พี่เมธ์ขับรถอยู่ดีๆ รถก็หมุน ทีนี้เวลารถหมุนเขาห้ามเบรก แต่พี่เมธ์คงตกใจแล้วก็เบรก รถเลยหมุนอยู่บนถนน รถเทรลเลอร์ที่ตามมาข้างหลังเลยชนอย่างรุนแรง ชนแรงขนาดรถต้องทิ้งทั้งคันซ่อมไม่ได้เพราะรถเละ แต่น่าแปลกใจมากที่พวกเราไม่เป็นอะไร แค่ตกใจ

ทั้งตัวมิ้งเต็มไปด้วยบลูเบอร์รี่สีแดงกับสีม่วง เพราะขณะเกิดอุบัติเหตุมิ้งนั่งอยู่เบาะหลังกำลังกินบลูเบอร์รี่พายอยู่ พอคลานออกจากรถ ทุกคนเห็นมิ้งก็ตกใจนึกว่าเป็นอะไร คิดว่าเลือดเต็มตัว แต่เปล่า โดนบลูเบอร์รี่สาดทั้งตัว (หัวเราะ) แต่ทุกคนไม่เป็นอะไร แล้วเพื่อนพี่เมธ์ก็ขับรถมารับไปช็อปปิ้งต่อ เหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเราก็ต้องนั่งรถไฟกลับ”

อุบัติเหตุครั้งนั้น กลายเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ของเมือง เพราะมีรถหลายคันชนกัน แต่กลุ่มเด็กไทยถึงกับต้องทิ้งรถ และซื้อรถคันใหม่ขับ โดยช่วยกันบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า ขายรถยนต์คันเก่าทิ้งแล้วต้องเพิ่มเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อรถยนต์คันใหม่ แต่ความลับที่ปิดไว้นาน 5 ปีเพิ่งแตกเมื่อไม่นานมานี้เอง และกลายเป็นวีรกรรมที่พวกเธอไม่เคยลืมเลย

ช่วงชีวิตที่อยู่อเมริการะหว่างพี่กับน้อง ยังมีวีรกรรมเด็ดอีกหลายเรื่อง เช่น เมธ์วดีอยากให้น้องเรียนรู้โลกกว้าง พาน้องสาวที่อายุไม่ถึง 20 ปีเข้าผับ จนเป็นที่ขนานนามของบอดี้การ์ดประจำผับว่า สาวๆ กลุ่ม “เฟก ไอดี” มาแล้ว

หากให้ วิทิดา นิยามความเป็น เมธ์วดีเธอขอเรียกพี่สาวว่าชีเป็นซูเปอร์วูแมน พี่สาวเก่งทุกอย่าง แถมยังเป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้ช่วยวางแผนทางการเงินที่ดีมากอีกด้วย

“ตอนเด็กๆ คิดว่าทำไมพี่ดุจัง แต่พอโตขึ้นรู้ว่าพี่หวังดี เวลามิ้งมีปัญหาในทุกด้าน พี่สาวจะช่วยหาทางออก 1 2 3 ให้เสมอ มันจะช่วยซอฟต์ปัญหาได้ เพราะพี่เมธ์จะมีระบบคิดวางแผนที่ดี ทั้งเรื่องการทำธุรกิจ การลงทุน รวมทั้งการหาโรงเรียนให้ลูก พี่เมธ์แนะนำโรงเรียนให้หลานว่า ให้ลูกเรียนอ่านภาษาอังกฤษแบบโฟร์นิกส์สิ เพราะลูกๆ พี่เมธ์เรียนโรงเรียนนานาชาติ แล้วโรงเรียนสอนการอ่านแบบโฟร์นิกส์ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ รู้หลักการผสมคำ และอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องท่องจำเหมือนการเรียนการสอนในโรงเรียนไทยทั่วไป”

ไม่เพียงเป็นที่ปรึกษาที่ดีเมื่อตอนโตมีครอบครัวเท่านั้น เมธ์วดียังเป็นที่ปรึกษาที่ดีตอนเรียนหนังสืออยู่ต่างบ้านต่างเมืองด้วย

“ย้อนกลับไปตอนเรียน มิ้งไม่ชอบเรียนบัญชี แต่พี่เมธ์เก่งด้านบัญชีมาก มิ้งเรียนปริญญาตรีต้องทำการบ้านวิชาบัญชีซึ่งตัวเองไม่ถนัด ขณะนั้นพี่เมธ์ต้องไปเรียนปริญญาโทอีกใบที่อีกเมืองหนึ่ง พี่เมธ์บอกว่าให้ส่งแผ่นดิสเกตไปทางไปรษณีย์ แต่พอแผ่นดิสเกตในสมัยนั้นซึ่งเป็นบางๆ พอมันไปถึงพี่เมธ์แผ่นกลับแตกหมดเลย พี่เมธ์จึงให้เพื่อนคนไทยชื่อบ็อบบี้ช่วยเอาไฟล์งานที่อยู่ด้านในของแผ่นที่แตกออกมาให้หน่อย ก็กู้ข้อมูลได้แล้วพี่เมธ์ก็ช่วยทำการบ้านวิชาบัญชีแล้วส่งกลับมาให้มิ้งได้ ตอนสอบแม้มิ้งทำคะแนนวิชาบัญชีไม่ดี แต่ได้พี่เมธ์ช่วยทำการบ้านมิ้งจึงผ่านมาได้”

แม้เป็นพี่น้องที่นิสัยต่างขั้ว แต่ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่หลายอย่างคือ รสนิยมดี และชอบช็อปปิ้งเหมือนกัน แค่มองตากันก็รู้ไปถึงใจ เพราะทั้งคู่จะรู้ความชอบส่วนตัวของกันและกัน จึงเป็นเพื่อนคู่คิดด้านช่วยกันช็อปปิ้งฝากกันซื้อของได้เป็นอย่างดี

“อย่างที่บอกว่าพี่เมธ์เป็นซูเปอร์วูแมน คือพี่เมธ์เก่งทุกอย่าง ทั้งทำอาหารทำขนมก็เก่ง ส่วนมิ้งไม่ได้เลย (หัวเราะ) ซึ่งลูกๆ ของมิ้งชอบให้ป้าเมธ์ทำขนมกับอาหารให้กินมากๆ เพราะป้าเมธ์เห็นรายการขนมทำมิลค์เชกอร่อย เลดี้เมธ์ก็สามารถหาวัตถุดิบแล้วทำให้หลานกินได้เลย แล้วอร่อย หลานๆ จึงเรียกป้าเมธ์ว่า ป้าเมธ์ แคน ดู ซึ่งการทำอาหารอร่อยจะไม่เกิดขึ้นกับแม่ (หัวเราะ)”

“มิ้ง แฮปปี้ โก ลักกี้”เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา

วิทิดา ตรังอดิศัยกุล + เมธ์วดี ประเสริฐสินธนา 2 พี่น้องความต่างที่ลงตัว

ถึงคราวพี่สาวพูดถึงน้องสาวบ้างว่า มิ้งเป็นผู้หญิงที่ แฮปปี้ โก ลักกี้ มากๆ เพราะน้องไม่ค่อยคิดอะไร แต่เขาก็ประสบความสำเร็จและมีความสุขในแบบของเขา น้องมีพรสวรรค์หลายอย่าง เช่น งานศิลปะ สามารถเปลี่ยนความคลั่งไคล้ในการช็อปปิ้งมาพัฒนาเป็นเงินได้ จนพี่สาวอย่างเธอรู้สึกทึ่ง

“เมธ์เป็นคนที่ทำอะไรต้องดีแบบมืออาชีพ โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งเมื่อเมธ์เกษียณก็อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเหมือนที่น้องสาวได้ทำนะคะ เช่น ทำอาหาร หรือออกกำลังกาย ในทางกลับกันน้องสาวมีสิ่งที่เขามีความสุขในสิ่งที่เขาทำทุกโมเมนต์ ซึ่งเมธ์ยังไม่มี น้องจะปล่อยวางได้ง่ายมากๆ จนเมธ์รู้สึกทึ่ง เช่น น้องโดนบ่นบางเรื่องเยอะมาก เมธ์ถามน้องว่าแล้วแกคิดไง น้องบอก ไม่คิด ฉันไม่สนใจ ฉันมีข้าวกิน มีบ้านอยู่ก็พอแล้ว แต่บางเรื่องเมธ์ก็แนะนำมิ้งว่า ชิลไปไม่ได้นะ เช่น การวางแผนทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เราต้องรู้บ้าง เราต้องมองไปถึงอนาคต เช่น การลงทุนหรือการเก็บสตางค์ เหมือนเตือนสติน้อง เพราะน้องไม่รู้เรื่องไฟแนนซ์เลย เมธ์ก็แนะว่าต้องรู้บ้างนะ เช่น เก็บเงินรูปแบบไหนอย่างไรถึงดี เพราะเมธ์จะเป็นคนวางแผนชีวิต เช่น เราควรมีเงินเก็บใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งมิ้งก็รับฟัง แล้วบอกว่าพี่เมธ์แนะนำดีมากๆ”

แม้เมธ์จะทำอะไรอย่างมีแบบมีแผน แต่อีกมุมหนึ่งเมธ์ก็มีเรื่องเล่าที่สนุกๆ มาเล่าให้กันฟังในหมู่พี่น้องอยู่เสมอๆ โดยทั้งสองสามารถหัวเราะในเรื่องเดียวกัน โดยไม่ต้องคุยกันได้

“บ้านเราเป็นคนเกตมุข ทุกคนชอบรีแลกซ์ ชอบเผากัน มีเรื่องเราตอนเด็กๆ ซึ่งขำมากๆ แม้เวลาทำงานพี่ๆ จะเคร่งเครียด แต่เวลาเราอยู่ด้วยกันในครอบครัวเราผ่อนคลาย หัวเราะ เราจะขำเรื่องบ้าๆ บอๆ แซวกันแบบทุกคนมีฉายากันหมด บางครั้งขำกันในหมู่ญาติพี่น้องจนหายใจไม่ออก”

สิ่งที่เมธ์วดีเป็นห่วงน้องสาวก็คือ น้องต้องคอนโทรลชีวิตตัวเองบ้าง อย่ารีแลกซ์มากเกิน เพราะชีวิตไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

“เมธ์อยากให้น้องทำอะไรแล้ววางแผนหลายๆ สเต็ป เพราะน้องชอบอยู่กับตัวเอง เช่น ทำธุรกิจ น้องก็มุ่งมั่นทำแต่งานแฮนด์เมดทั้งหมด เมธ์ก็เตือนน้องว่า ถ้าในอนาคตคนเย็บไม่สบายทำไง หรือทำแล้วได้ยอดขายเท่านี้พอเหรอ สานฝันตัวเองได้แต่เราต้องไปไกลกว่านั้นหน่อยดีไหม แต่มิ้งชอบเชื่อมั่นว่าบางสิ่งจะอยู่กับเขาไปตลอด ซึ่งมันไม่ได้ เพราะเราไม่รู้อนาคต

อย่างกระเป๋าแฮนด์เมดทุกชิ้น เมธ์ก็แนะนำว่าบางชิ้นทำเป็นแมสได้ไหม เพราะมิ้งสามารถทำกระเป๋าได้เดือนละใบเท่านั้นเอง ซึ่งเมธ์จะดูในเชิงธุรกิจ แต่น้องอาร์ติสต์ล้วนๆ เมธ์เป็นห่วงน้องเรื่องนี้ แต่น้องจิตใจดีโลกสวย น้องชอบมองว่าวันนี้แฮปปี้ แต่เมธ์คิดว่าอีกสิบปีจะแฮปปี้แบบนี้หรือไม่ ทำไมน้องไม่คิดให้ใหญ่กว่านี้ เพราะเมธ์ชอบพุชตัวเอง เช่น การออกกำลังกายก็ต้องเล่นหนักๆ ไม่เจ็บไม่ปวดคือไม่เรียนรู้ ชอบทำอะไรยากๆ เมธ์ชอบมาก แต่น้องชอบชิลๆ ชอบอยู่ในคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง ประมาณนี้”

2 พี่น้องจึงกลายเป็นความต่างที่ลงตัว เพราะช่วยเหลือเติมเต็มในสิ่งที่แต่ละคนขาด