posttoday

จุดไฟให้คนทำงาน (กลับมา) มีพลัง

11 มิถุนายน 2561

ทำอย่างไรจะโหมกระพือไฟอันริบหรี่ให้กลับมาลุกโชนได้อีกครั้ง ในวันที่รู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่

เรื่อง ราตรีแต่ง
 
ทำอย่างไรจะโหมกระพือไฟอันริบหรี่ให้กลับมาลุกโชนได้อีกครั้ง ในวันที่รู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่ สิ่งที่เคยใฝ่ฝันกลายเป็นกับดักอันขมขื่นค่อยๆ กัดกร่อนคนทำงานทีละน้อย
 
หากใครเริ่มรู้สึกแบบนี้ทุกๆ เช้า นั่นแสดงว่าสัญญาณโรค Burnout Syndrome หรือโรคเบื่องาน หมดไฟในชีวิตการงานกำลังเริ่มมอดไปทีละน้อยๆ อันตรายมากสำหรับคนทำงาน วิธีแก้ปัญหา ก็คงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนงานอย่างกะทันหัน เพราะไม่ใช่ทางออกทำให้พบงานในฝันแบบเสกได้แน่ๆ หากเรายังไม่เข้าใจปัญหา หรือธรรมชาติของความหมดไฟ ต่อให้ได้งานใหม่ อาการไฟมอดก็พร้อมวนกลับมากลืนกินอยู่ดี วิธีแก้ต้องดูต้นตอกันว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งบั่นทอนคนทำงานให้ไปต่อไม่ได้
 
ทำงานหนักโดยขาดการพักผ่อน
 
"หมดไฟ" เป็นเรื่องเบสิกไม่ว่าคนทำงานหน้าไหน ใครๆ ก็ต้องเผชิญทั้งนั้น แต่อาการเลยจุดเดือด คือวันหนึ่งจู่ๆ ก็เลือกหันหลังให้งานตัวเอง ด้วยความเหนื่อยล้า อ่อนแรง เกิดอาการถอดใจเทงานกลางคัน ซึ่งถ้าจะหาสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนกลุ่มนี้หมดไฟ ก็คือ "ความเครียด" ในระดับสูง เช่น กลุ่มคนทำงานให้ได้ตามเดดไลน์ เจ้านายหรือลูกค้าไล่จี้ทวงงาน ต้องปั่นงานแข่งกับเวลา ขณะที่ก็ต้องคิดงานให้แจ่มแจ๋วไร้ที่ติอีกต่างหาก ทำงานเหมือนหนูถีบจักรไปเรื่อยๆ ความเครียดแบบนี้ก็สะสมได้ยาวๆ เช่นกัน
 
งานที่รักที่ทำ ทำด้วยความรู้สึกสนุก เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จู่ๆ ลานก็ขาดผึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้เกิดอาการเบื่อ หมดไฟ หมดแรง ไม่อยากทำงาน(ที่เคย)สนุกกับมันเหลือเกิน ไม่อยากทำต่อไปอีกแล้ว ซึ่งความรู้สึกหมดไฟในการทำงาน อาการแรกคือรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังเป็นโรคเบื่อหน่ายงานทุกขณะ
 
วิธีแก้ไข คือต้องฝืนกายใจให้ฟิตกว่าเดิม สุขภาพคือปราการด่านแรกที่จะทำให้แกร่งกว่าเดิม เริ่มการนอนหลับอย่างเพียงพอ จัดเมนูอาหารให้ได้สาร 5 หมู่ครบในแต่ละวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้ไม่หมดแรงง่ายๆ แม้วันนี้(ยัง)เปลี่ยนงานไม่ได้ก็ตาม แต่เราแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังความอึดได้
 
สุขภาพที่ดีจะทำให้กลับเป็นเจ้าของผู้บริหารชีวิตของเราเองได้อีกครั้ง ด้านชีวิตส่วนตัวก็จำเป็นต้องได้รับการเติมเต็ม เมื่อเจอกับงานหนักมาตลอดทั้งเดือน ต้องหากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายเลือกเวลาพักร้อน ออกไปท่องเที่ยวมีชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ให้มีความรู้สึกว่าเรากำลังกุมบังเหียนชีวิตของตัวเองอยู่ ไม่ใช่แค่ระบบของออฟฟิศมาครอบเราไว้
 
บริหารเวลาไม่ได้ดังใจ
 
ความเครียดเรื้อรังทำให้ชีวิตยุ่งเหยิง เพราะเราแทบจะไม่มีสมาธิกับสิ่งอื่นๆ เลย นอกจากต้องวุ่นกายวุ่นใจอยู่กับการแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า พานทำให้ทุกๆ อย่างรอบตัวเกิดปัญหาอีนุงตุงนังเหมือนยุงตีกันไปด้วย วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มจัดระเบียบชีวิต โดยเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิต เมื่อจัดสรรชีวิตได้แล้ว ความเครียดก็จะค่อยๆ ลดลงไปเอง
 
ลองใช้กฎทำชีวิตให้เร็วขึ้น 30 นาที เช่น ตื่นเช้าเร็วขึ้น 30 นาที จากที่เคยตื่น 06.00 น. เป็นกิจวัตร ลองตื่นเร็วขึ้นเพียง 30 นาที ตั้งเวลาอาบน้ำแต่งตัวให้เร็วขึ้น ออกจากบ้านเร็วขึ้น และถึงออฟฟิศเพื่อสะสางงานได้เร็วขึ้น วิธีนี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปได้ชัดเลยทีเดียว
 
อย่าประเมินเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงนี้ว่าน้อยเกินไป เพียงบริหารเวลาด้วยวิธีนี้ ตั้งเดดไลน์กับตัวเองให้เร็วขึ้นอีกนิด เราจะมีเวลาทำอะไรได้อีกหลายๆ อย่างเลยทีเดียว ซึ่งการมีเวลามากขึ้นก็จัดระเบียบที่ทำงานได้มากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เคลียร์โต๊ะทำงานให้โล่ง สะอาด และสบายตา ฮวงจุ้ยโต๊ะดี งานก็ดีไปด้วย ขณะที่ถ้าใช้ชีวิตเดิมๆ ไปถึงที่ทำงานตรงเวลาเป๊ะ ก็หันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์ปั่นงานทันที ชีวิตแบบนี้บางทีไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรกำลังทำงาน
 
คิดแง่ลบไปเสียทุกๆ เรื่อง
 
อีกอาการสำคัญเป็นสัญญาณว่า "คุณหมดไฟ" คือแต่ละวันแต่ละนาทีเอาแต่คิดในแง่ลบ วิธีแก้ไขก็แค่เลิกคิดแง่ลบ คิดง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องคิดยากให้ซับซ้อน เลิกกังวลถึงอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าทำอะไร ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ล้มได้ก็ลุกได้ แทนที่จะมัวคิดกังวล ก็เปลี่ยนไปนึกถึงรสชาติของความสำเร็จที่เราจะได้ลิ้มรสแทน สิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้น
 
การคิดดี คิดบวก ก็แค่ให้นึกถึงผลลัพธ์มากกว่าอุปสรรค หากเราทำงานชิ้นที่ยากๆ ครั้งนี้ได้ ถ้าทำได้ คือความภูมิใจกับผลงานที่จะตามมาแน่นอน การเปลี่ยนแนวคิดเพื่อให้เกิดทัศนคติในการทำงานที่ดี จะช่วยให้เรามีแรงใจในการทำงานมากขึ้น พยายามอย่าคิดว่าเพราะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้คิดว่าต้องทำอย่างไรเราจึงจะทำงานได้ดีขึ้น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมเสียบ้างก็ดี หรือคนรอบข้างที่จะสร้างความไม่สบายใจให้กับเรา จนเราทำงานไม่ได้ จะต้องยอมรับว่าบางคนหมดไฟในการทำงาน เพราะมีทัศนคติด้านลบมากเกินไป
 
ขาดการออกกำลังกาย
 
อาการหมดไฟในการทำงานของคนทำงาน เห็นได้จากอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน ไม่ใช่แสดงออกทางร่างกายแค่นั้น แต่เป็นจิตใจของเราที่เหนื่อยอ่อนไม่แพ้กันเลย แล้วก็ยังทำให้เราคิดไป(เอง)ว่า เราไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีกแล้ว เราหมดไฟในการทำงานไปแล้ว ชีวิตทำงานดูไม่ตื่นเต้นเร้าใจเหมือนวันก่อนๆ อีกต่อไป
 
บางครั้งก็อาจรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงานเริ่มไม่มีความสุข ร่างกายก็เปลี้ยไปเสียทุกส่วน
 
เมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย ล้า ก็ต้องกลับมาฟิต ทั้งตำราสุขภาพ ทั้งคุณหมอก็พร่ำบอกประโยชน์การออกกำลังกายช่วยบรรเทาความเครียดได้ รวมถึงขั้นช่วยบรรเทาโรคซึมเศร้าได้ การบริหารร่างกายก็เป็นการบริหารใจได้ด้วย เอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมา ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น ไม่ว้าวุ่น และได้ดึงพลังความเครียดที่อั้นอยู่มาปลดปล่อย และโฟกัสกับการออกกำลังแทน สุดท้ายช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น มีแรงเติมไฟสู้กับวันใหม่ต่อไป