posttoday

ขอแสดงความยินดี (ถ้า)อยู่ในกลุ่มคน 1%

10 พฤษภาคม 2561

ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุ คนไทย 88% มีเงินในบัญชีออมทรัพย์ไม่ถึง 5 หมื่นบาท มีเพียง 1% มีเงินเกิน 1 ล้านบาท

เรื่อง ราตรีแต่ง

ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุ คนไทย 88% มีเงินในบัญชีออมทรัพย์ไม่ถึง 5 หมื่นบาท มีเพียง 1% มีเงินเกิน 1 ล้านบาท สะท้อนปัญหาคนส่วนใหญ่เงินไม่พอใช้ ไร้เงินเก็บ หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองทันที! ว่าเราจัดอยู่ในกลุ่มไหน?!!

ธนาคารแห่งประเทศไทย แจงข้อมูลอีกว่า บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่คนไทยนิยมทำมากที่สุด โดยบัญชีออมทรัพย์ที่มีเงินฝากตั้งแต่ 5 หมื่น-1 แสนบาท มีจำนวน 3 ล้านบัญชี บัญชีที่มียอดเงินตั้งแต่ 1-5 แสนบาท มีจำนวนกว่า 4 ล้านบัญชี บัญชีที่มียอดเงินตั้งแต่ 5 แสน-1 ล้านบาท มีจำนวนกว่า 9 แสนบัญชี และบัญชีที่มียอดเงินมากกว่า 1 ล้านบาท มีอยู่เพียง 9 แสนบัญชี หรือคิดเป็น 1% ของทั้งหมดเท่านั้น แต่กลับมียอดเงินรวมกันเกือบ 5 ล้านล้านบาท

สถิติคนกว่า 90% ของประเทศมีเงินเก็บไม่ถึง 5 หมื่นบาทนี้เอง ทำให้คนไทยมีแต่หนี้สิน มีข้อมูลจากหนังสือ Money มานี่ (many) วิถีเงินล้าน ซึ่งตั้งคำถามว่า...อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนไม่มีเงินเก็บ? ซึ่งมี 2 สาเหตุชัดเจนที่สุด ก็คือ สาเหตุแรก รายได้น้อยเกินไป และสาเหตุที่สอง ใช้จ่ายมากเกินไป แน่นอนว่าชีวิตที่มีคำว่า“เกินไป” ถ้าไม่ใช่ “เงินเก็บ” ก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น

วิธีการแก้ไขปัญหานี้เพื่อที่จะมีเงินเก็บ ก็มี 2 ข้อง่ายๆ 

วิธีแรก “เพิ่มรายรับ”

หางานพิเศษทำเพิ่มเติม ถ้างานรับเงินเดือนที่มีอยู่หักค่าใช้จ่ายประจำเดือนแล้ว แทบไม่มีเงินเหลือพอที่จะเก็บออมเป็นเงินก้อนได้ ก็คงต้องลองหาอาชีพเสริมระหว่างที่ทำงานประจำไปด้วย

อาชีพเสริมสามารถเป็นได้หลายรูปแบบ ตามแต่ละคนถนัด การเริ่มต้นกิจการเองก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งสมัยนี้การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่ว่าต้องมีเงินก้อนใหญ่ โดยมีช่องทางขายสินค้าทางออนไลน์ได้ ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรมีคำแนะนำในเรื่องนี้โดยให้ลองเขียนสิ่งที่เรารักออกมาสัก 3 ข้อ เช่น รักอาหาร รักการออกกำลังกาย รักงานประดิดประดอย แค่นี้เราก็จะมองเห็นอาชีพที่ 2 ได้ชัดเจนขึ้น ว่าเราอยากทำอะไร และขึ้นอยู่กับว่าใครจะเริ่มลงมือทำหรือเปล่า

เลือกวิธีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปีนั้น ผลตอบแทนที่ได้จริงๆ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการลงทุน สภาพเศรษฐกิจสภาพตลาด แต่ถ้าไม่มีความรู้การลงทุน กูรูด้านการลงทุนแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยบริหารจัดการให้ หรือถ้ายังไม่ไว้ใจผู้บริหารกองทุนมืออาชีพ แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เป็น ETF ซึ่งอิงกับดัชนีตลาดเป็นหลัก

จากสถิติแล้ว ในระยะยาวตราสารทุน หรือหุ้น เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ซึ่งมากที่สุด (มากกว่า เงินฝาก พันธบัตร สลากออมสิน หุ้นกู้ทองคำ อสังหาริมทรัพย์)

วิธีที่สอง “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น”

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับประชาชนสนใจศึกษาข้อมูลในเรื่องเงินๆ ทอง คำว่า จน หรือ รวย ขึ้นอยู่กับ “การบริหารรายจ่าย” และแนะวิธีการเก็บเงิน

ในแต่ละเดือน “มนุษย์เงินเดือน” มีรายได้ที่แน่นอน รู้แน่ชัดว่าจะได้รับเงินเท่าไร และได้รับเงินวันไหน แต่สิ่งที่หลายคนละเลยก็คือ “รายจ่าย” ที่เกิดขึ้น ทั้งรายจ่ายประจำ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ อาหารการกิน ฯลฯ และรายจ่ายผันแปร ที่บางคนควบคุมการใช้จ่ายไม่ค่อยได้ (เลย) เช่น จ่ายค่าช็อปปิ้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ท่องเที่ยว ไปสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงและอีกมากมาย

ใครควบคุมรายจ่ายไม่ได้ ก็ไม่มีทางรวยแน่นอน เพราะรายได้เท่าเดิม รายจ่ายเพิ่มขึ้นแบบไม่มีวินัยแบบนี้ ก็จะกัดกินเงินที่ควรจะเก็บออมเงินก้อนเล็กลงไปเรื่อยๆ แย่ยิ่งกว่านั้นไปอีก บางคนเงินไม่พอใช้ การก่อหนี้เพื่อสนองกิเลสตัวเองอย่างนี้ ยิ่งน่าเป็นห่วง

เคล็ดลับมนุษย์เงินเดือน ก็คือควรให้น้ำหนักกับการ “บริหารรายจ่าย” โดยนำรายได้สุทธิ (ย้ำว่า “สุทธิ” คือ รายได้ทั้งหมด) ยกตัวอย่าง รายได้ 3 หมื่นบาท ไปหักประกันสังคม, หักกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, หักหนี้สินที่ต้องจ่ายประจำเดือน เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ รับมาเท่าไร?

อย่างเช่นเหลือเงิน 2.8 หมื่นบาท ให้เก็บออม หรือลงทุนก่อน อย่างน้อยที่สุด 10% คือ 2,800 บาท แล้วค่อยนำเงินที่เหลือ คือ 28,000-2,800 = 25,200 บาท จากนั้นนำไปบริหารรายจ่าย ด้วยการนำเงินก้อนไปหาร 4 แล้วแบ่งใช้เป็นรายสัปดาห์ คือ 25,200÷4 = 6,300 บาท โดยกดเงินสด 6,300 บาท มาใช้สัปดาห์ละ1 ครั้ง แล้วใช้ให้พอกับเงินที่มีในกระเป๋า แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้จ่ายเกินตัว ได้ใช้เงินตามกำลัง และยังมีเก็บออม (ลงทุน) อีกด้วย แต่หลายคนที่ยังติดอยู่ในกลุ่ม 88% มีเงินเก็บในบัญชีไม่ถึง 5 หมื่นบาท ไม่ได้ทำแบบนี้แน่นอน

การแก้ไขปัญหาเพียง 2 ข้อนี้ให้ได้ ก็จะทำให้มีเงินเหลือ และสิ่งที่ควรทำต่อไปทันที คือต้องจ่ายให้อนาคตตัวเองก่อนเลย ซึ่งก็คือเงินเก็บ แล้วเราจะไม่มีวันอยู่ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่แทบไม่มีเงินเหลือเก็บ

เป็นการปรับนิสัยและสร้างวินัยการใช้เงิน คือการเก็บก่อนค่อยใช้ ไม่ใช่การรอให้เหลือแล้วจึงค่อยเก็บถ้าใครทำได้ต้องกล่าวแสดงความยินดี ที่ติดกลุ่ม 1% ชีวิตมั่นคงได้สวยงาม