posttoday

อบอวลด้วยรัก วิวรรณ+วรมน สารกิจปรีชา

05 พฤษภาคม 2561

เรียกว่าเลี้ยงลูกได้โตทันใช้สำหรับ “ครูไก่” วิวรรณ สารกิจปรีชา ผู้อำนวยการและเจ้าของโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ที่เปิดมาได้ 41 ปี

โดย วราภรณ์ ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน

เรียกว่าเลี้ยงลูกได้โตทันใช้สำหรับ “ครูไก่” วิวรรณ สารกิจปรีชา ผู้อำนวยการและเจ้าของโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ที่เปิดมาได้ 41 ปีแล้ว

ยามนี้ได้ลูกสาวคนเล็ก “แวว” วรมน สารกิจปรีชา หลังจากศึกษาจบปริญญาตรีด้านอาร์ต กราฟฟิค มีเดีย แอนด์ดีไซน์ จากประเทศอังกฤษ ก็กลับมาช่วยสานต่องานสอน โดยใช้ความรู้ด้านศิลปะที่ร่ำเรียนมาจาก ลอนดอน คอลเลจ ออฟ คอมมูนิเคชั่น (London College of Communication) เปิดคลาสสอนเด็กๆ ด้วยการใช้ศิลปะเป็นสื่อเสริมสร้างประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้เด็กๆ หรือ Sensory Play

ปัจจุบันโรงเรียนย้ายจากย่านสุขุมวิทมาอยู่ที่ใหม่ย่านพระราม 4 ใหญ่กว่าเดิมบนที่ดินราว 2 ไร่ ทำให้มีพื้นที่ในการทำฐานต่างๆ ให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมเสริมทักษะเต็มที่

แวว เริ่มถึงแรงบันดาลใจในการสานต่องานคุณแม่ เข้ามาช่วยสอนที่โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ เธอเน้นการสอนศิลปะเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการทำ เช่น การใช้วัสดุแปลกๆ มาสร้างสรรค์งานศิลปะ เช่น ใช้วัสดุในครัว ใช้ใบไม้มาสร้างงานศิลปะบนกระดาษ ฉีกแนวจากการสอนศิลปะในแบบเดิมๆ ช่วยให้เด็กได้คิด ได้ใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ 

อบอวลด้วยรัก วิวรรณ+วรมน สารกิจปรีชา

“เช่น เด็กเรียนเรื่องน้ำ เราทำเป็นหน่วย 4 หน่วยให้เด็กจับกลุ่ม 5 คน เราจะให้เด็กๆ ได้ฝึกอาบน้ำให้ตุ๊กตาเพื่อให้เด็กได้ใช้จินตนาการ ให้เด็กๆ เล่นน้ำแข็ง เด็กๆ จะรู้สึกหนาวและเย็น หรือเราเอาสัตว์ใส่น้ำแข็ง เด็กจะนำสัตว์เลี้ยงออกมาจากน้ำแข็งได้อย่างไร เช่น เอาค้อนทุบ

แววจะสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ตอนนี้จะขยายไปสอนเด็กๆ อนุบาล 2 ซึ่งการเรียนรูปแบบนี้เหมาะกับเด็กที่พิเศษด้วย เราจะมีเด็กพิเศษเรียนห้องละคน บางครั้งพ่อแม่หลายคนไม่รู้ อย่างเราต้องใช้เวลาสังเกตเป็นปี เราก็ต้องแนะนำให้เด็กพิเศษได้ฝึกพัฒนาการ เพื่อให้กลับมาปกติได้เร็ว และต้องอยู่กับเขาด้วยความเข้าใจด้วย”

‘แววมีหัวด้านการลงทุนที่ดี’ วิวรรณ สารกิจปรีชา 

ครูไก่ เล่าถึงลูกคนเล็กว่า การมีลูกสาว 2 คน นับเป็นเรื่องดี เด็กผู้หญิงมีนิสัยแตกต่างจากผู้ชายที่คงไม่ค่อยกลับบ้าน หรือแยกไปอยู่ต่างหาก แต่ลูกสาวเหมือนเป็นเพื่อนที่สนิทกัน เวลาเริ่มเป็นสาวก็สอนง่าย สามารถไปช็อปปิ้งด้วยกัน ชอบดูงานศิลปะและมีความละเอียดอ่อนคล้ายๆ กัน

“ถ้าถามว่าทำไมถึงส่งลูกไปเรียนหนังสือต่างบ้านตั้งแต่อายุ 9 ขวบ กับ 12 ปี เพราะสมัยก่อนเด็กจะสอบเข้าโรงเรียนต้องติวหนังสือกันหนักมาก ไก่ไม่ได้ติวลูกแต่ลูกสามารถสอบเข้าโรงเรียนได้เอง พอลูกคนโตเรียนประถมฯ 1 มีคนมาถามว่า ทำไมไก่ไม่ส่งลูกไปติวล่ะ ไก่บอกว่าติวทำไม ไก่มานั่งคิดว่า ลูกต้องอยู่ในสังคมที่ต้องติว ต้องติวไปเรื่อยๆ เลยเหรอ ไก่จึงตัดสินใจส่งลูกคนโตไปเรียนที่เมืองนอกก่อน พอแววอายุ 12 ปีเขาก็ไปเรียนพร้อมกันกับเพื่อน แม่จึงไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่”

การส่งลูกไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ ครูไก่บอกว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียหนึ่งข้อคือ พ่อแม่จะไม่ค่อยได้อยู่กับลูก แต่ใช้วิธีไปเยี่ยมลูกๆ บ่อยเท่าที่ลูกต้องการ ทำให้มีช่วงเวลาที่น่าประทับใจคือ ลูกๆ มากอดแม่แล้วเอ่ยว่า รักแม่จัง แม้เป็นครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ครอบครัวนี้ก็สนิทและรักกันมาก

ข้อดีอีกข้อของการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ คือเด็กจะมีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมีระเบียบวินัย เพราะต้องอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก มีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะที่นั่นไม่นิยมติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

“ลูกอยากเรียนอะไร ไก่จะให้ลูกเลือกเรียนเอง ที่อังกฤษถ้าบางคนเลือกเรียนผิด ก็แค่ออกมา แล้วไปเรียนอย่างอื่น ไม่ใช่ปัญหาอะไรใหญ่โต ที่อังกฤษส่วนใหญ่เมื่อเด็กเรียนจบมัธยมฯ 6 ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเขาจะสนับสนุนให้เด็กไปเปิดโลก หรือทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อสังคม

อบอวลด้วยรัก วิวรรณ+วรมน สารกิจปรีชา

เด็กจะเข้ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เขาไม่ได้ดูแค่เกรด แต่เขาดูว่าเด็กคนนั้นทำอะไรเพื่อช่วยเหลือสังคมบ้าง ความคิดของเขากว้างมาก ไม่ใช่จะสนับสนุนให้เด็กเรียนอย่างเดียว ซึ่งไก่คิดว่าดี เด็กจบเมืองนอกมาก็ใช่ว่าเงินเดือนจะเยอะกว่าเด็กที่จบที่นี่ หรือมีตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นในมุมมองของไก่นะคะ แต่เด็กที่จบเมืองนอกจะได้ฝึกเรื่องมุมมอง ได้คิดเอง ตัดสินใจชีวิตตัวเอง ไม่เหมือนเมืองไทยติวอย่างเดียว เด็กจึงชอบติว เรากำลังสอนเด็กให้ติวเพื่อสอบอย่างเดียวหรือเปล่า เพราะเด็กก็ไม่ได้อยากรู้

อย่างแววจบอาร์ต พอลูกเรียนจบก็จะไปรีเสิร์ชที่โรงเรียนเอง แล้วเขาก็อยากทำเอง เพราะในศตวรรษที่ 21 เราไม่รู้ว่าเราอยากทำอะไร แต่เราต้องคิดสร้างสรรค์ได้ ไม่ใช่จำอย่างเดียว ต้องรู้จักคิดสร้างสรรค์และคิดสังเคราะห์ ในความคิดของไก่นะคะ ลูกไปอยู่เมืองนอก ลูกช่วยตัวเองเยอะมากๆ คิดเองทำเอง ทำกับข้าวกินเอง ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องดูแลบ้าน ต้องไปเสียภาษี ต้องจ่ายค่าเก็บขยะเอง พอมีรถใช้ พี่สาวก็ต้องดูแลรถเอง ซ่อมดูแลเองได้หมดค่ะ น้องแววก็เก็บเงินเก่ง เขาสามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่กลับบ้านได้”

คุณแม่หัวคิดสมัยใหม่เล่าต่อว่า แววเป็นเด็กอีคิวดี เซนส์เรื่องศิลปะดีมากๆ ลูกรู้จักศึกษาหาความรู้ในศาสตร์ที่เขาไม่คุ้นเคย และมีการวางแผนด้านการออมเงินดีมากๆ จนคุณแม่มอบหมายหน้าที่ให้ ลูกสาวคนเล็กดูแลเรื่องบ้านเช่าของน้าและของพ่อแม่

“เรื่องการวางแผนการลงทุน แววเก่งมาก เขารู้จักเลือกคอนโดมิเนียมอยู่เอง พอย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ เขาดูแลได้ดีมากเรียกว่ามีหัวด้านการลงทุนทีเดียว เขาชวนแม่ไปซื้อที่ ซึ่งกำลังจะขายได้ แววเป็นคนมองการณ์ไกล เก็บเงินเก่ง ไก่เคยแอบดูสเตตเมนต์ลูก ลูกเก็บเงินได้เยอะมากๆ เพราะเขาเก็บเงินจากที่พ่อแม่ให้เงินเดือน

อย่างคุณพ่อเขาจะให้เงินมากกว่าเงินที่ลูกต้องใช้นิดหนึ่ง เพื่อให้ลูกพอมีเงินเก็บบ้าง แววชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ซึ่งแม่ก็ชอบ และลูกรู้จักคบเพื่อน จิตใจดีให้เพื่อนมาอยู่ที่บ้าน แล้วเพื่อนก็รักแวว แต่เราจะขี้ลืมเหมือนกัน วันๆ แววหาแต่โทรศัพท์มือถือ ส่วนแม่หาแต่แว่นตาทั้งวัน (ยิ้ม) อย่างที่เล่าว่า แววชอบอยู่บ้าน ซึ่งแม่ก็รู้สึกดี แต่บางทีแววเจอแม่บ่อยๆ ก็เริ่มเบื่อแม่ พอเห็นแม่ก็ทัก แม่มาอีกแล้วเหรอ ไก่ก็นึก นี่บ้านแม่นี่น่า (หัวเราะ) ในฐานะแม่ไม่ค่อยห่วงอะไรน้องแววนะคะ เพราะเขามีสามีที่ดี แล้วชีวิตเขาก็ดีทุกอย่าง”

‘คุณแม่มีศิลปะในการเลี้ยงหลานๆ’ วรมน สารกิจปรีชา 

หลังจากไปร่ำเรียนที่ประเทศอังกฤษนาน 14 ปี ซึ่งที่นั่นสอนให้แววเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองค่อนข้างมาก วรมนบอกว่าไม่ได้มองการณ์ไกลไปถึงการสานต่อการดูแลโรงเรียนของคุณแม่อย่างเต็มตัว เพราะเธอเห็นว่าคุณแม่ยังคงแข็งแรงที่จะบริหารอนุบาลกุ๊กไก่ได้อีกนาน

“พอแววได้มาทำงานโรงเรียน ก็ทำให้รู้เรื่องโรงเรียนมากขึ้น อีกทั้งพอได้มาทำงานกับเด็กๆ ก็รู้สึกสนุกและชอบ เวลาเด็กๆ ได้เรียนรู้ตามสิ่งที่แววต้องการ และเขาชอบในสิ่งที่แววเตรียมให้ อย่างลูกชายคนโตก็อยู่โรงเรียนของคุณยาย แม้ต่อไปแววจะได้เป็นผู้บริหาร ซึ่งปัจจุบันเรากำลังขยายบ้านเก่าให้กลายเป็นออฟฟิศ ซึ่งคุณแม่ยังเออร์ลีรีไทร์ไม่ได้ (ยิ้ม) ลูกยังไม่ยอมให้หยุด แม่ต้องทำไปตลอด”

การที่คุณแม่ส่งเธอไปเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี วรมนคิดว่าก็ดี เพราะทำให้เธอได้เห็นโลกที่กว้าง ได้รู้ว่าประเทศอื่นและคนอื่นมีมุมมองชีวิตอย่างไร? ซึ่งพอแววมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึง 2 คนแล้ว คือน้องวิววัย 3 ขวบ กับลูกชายคนเล็กวัย 3 เดือน ก็มีคุณยายช่วยดูแล

“ที่บ้านมีแต่ลูกสาว พอคุณตาคุณยายได้หลานชาย งงกันหมด ไม่รู้จะต้องเลี้ยงเขาอย่างไร จึงเป็นความท้าทายมาก (หัวเราะ) ซึ่งเขาจะอยากเป็นอะไร ต้องรอดูอีกทีหนึ่ง อย่างน้องวิวเริ่มมีคาแรกเตอร์ ความชอบของเด็กผู้ชายก็ไม่เหมือนเด็กผู้หญิง แต่น้องวิวเหมือนคุณตา คือชอบรถ ชอบรถตักดิน ซึ่งแววไม่เคยสัมผัสแบบนี้เลย

ลูกชอบคุยกับคุณตา เขาชอบซ่อมรถ เล่นรถ สำหรับลูกชายคนโตเดี๋ยวดูอีกทีว่าจะส่งเขาไปตอนไหน หรือจะส่งไปตอนโตเลย การเลี้ยงลูกแววนำวิธีที่คุณแม่เลี้ยงแววมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกคือ ไม่ได้เน้นว่าเขาจะต้องเรียนแบบไหน เขาชอบอะไรก็ให้เรียนที่เขาชอบ แววไม่เคยคิดอยากให้ลูกเป็นอะไร เพราะเด็กไม่ได้เก่งทุกด้าน แววจะให้อิสระลูกได้ทำในสิ่งที่เขาชอบให้ดีที่สุด เมื่อเขามีความสุข แม่ก็สุขไปด้วย”

วรมนกล่าวต่อว่า เธอไม่ได้เลี้ยงแบบฝรั่ง ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานการเป็นไทย เพราะมีวัฒนธรรมไทยที่งดงาม เด็กๆ ต้องรู้จักการไหว้ ต้องกินข้าวแบบนี้

อบอวลด้วยรัก วิวรรณ+วรมน สารกิจปรีชา

“เพราะเป็นคนไทย สามารถให้ลูกเล่นดินได้ ปลูกพืชผักสวนครัว อย่างพื้นที่หลังบ้านคุณยาย เธอจำลองสวนครัวเล็กๆ ให้ลูกได้นำดินทรายมาเล่น ที่โรงเรียนยังสนับสนุนให้เด็กๆ ไปทำกิจกรรมคลุกโคลนเพื่อปลูกข้าว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกมากๆ พ่อแม่ก็ลงไปปลูกข้าวด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่ดี

แม้คุณแม่ไม่มีลูกชาย แต่บางทีลูกดื้อ แววก็ส่งให้คุณยายปราบก็มีนะคะ เพราะคุณแม่จะมีจิตวิทยาในการเลี้ยงเด็กสูงมาก คุณแม่จะไม่ใช่คำว่า ห้ามเพื่อหยุดหลาน แต่คุณแม่จะมีศิลปะคือเบี่ยงเบนความสนใจของหลาน ซึ่งได้ผล แววจะไม่ตีลูกและพยายามไม่ใช้เสียงดัง คุณแม่จะใช้วิธีพอหลานหายดื้อแล้วอยู่ในอาการสงบ คุณแม่จะพูดกับเขาดีๆ ว่า วิว คุณยายเห็นว่าปิดประตูได้เงียบๆ คุณยายคิดว่ามันดีกว่าปิดประตูดังๆ นะลูก หรือเวลาที่วิวทำอะไรที่ดีๆ เราจะชมเขา เช่น วันนี้เจอแขกแล้ววิวยกมือไหว้ มันดีมากเลยลูก แล้วลูกก็รับฟังและจดจำค่ะ”

หากถามว่า มีอะไรที่ห่วงในตัวคุณแม่ วรมนบอกว่า อยากให้คุณแม่รักษาสุขภาพ เพราะคุณแม่ชอบทำงานดึกๆ  เข้านอนตี 2 ตี 3 เป็นประจำ เพราะคุณแม่ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างของโรงเรียน เรียกว่าทุกรายงานที่จะส่งไปถึงผู้ปกครองเด็กๆ คุณแม่ต้องได้สแกนก่อน

“อะไรที่ครูจะสรุปให้ผู้ปกครองต้องผ่านตาคุณแม่ก่อน ทุกหลักสูตรที่ครูจะใช้สอนเด็กคุณแม่ดูหมด หรือการทำการ์ดให้เด็กๆ ในวันคล้ายวันเกิด คุณครูไก่ต้องขอสกรีนก่อน นี่คือจุดขายของครูไก่ เมื่อครูไก่ใส่ใจ ครูทุกคนต้องใส่ใจทุกรายละเอียดด้วย คุณแม่ค่อนข้างละเอียดอ่อนกับเด็กๆ ดังนั้น จึงอยากให้คุณแม่นอนเร็ว และออกกำลังกายบ้างค่ะ”