‘ทำดี ไม่หวังผลตอบแทน’ สกล บัณฑิตเสวนากุล
“ชาย” สกล บัณฑิตเสวนากุล หนุ่มยะลาที่มาทำงานในกรุงเทพฯ นานเกือบ 20 ปี
โดย วราภรณ์
“ชาย” สกล บัณฑิตเสวนากุล หนุ่มยะลาที่มาทำงานในกรุงเทพฯ นานเกือบ 20 ปี ปัจจุบันเขาคือพนักงานแผนกการเงิน บริษัทโรงงานประดับยนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
เขามีหลักการเป็นจิตอาสาคือ “ทำดี โดยไม่หวังผลตอบแทน” กิจกรรมดีๆ เขาเริ่มทำครั้งแรกตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นที่ภาคใต้ เมื่อสภากาชาดไทยขอกำลังคนไปช่วยแพ็กของบริจาค สกลก็ไปโดยไม่รีรอ
ต่อมาเขาเริ่มทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างจริงจังเมื่อปี 2557 เหตุเพราะเพื่อนชวนและเกิดอาการอกหัก ผิดหวังในความรัก ที่ความรู้สึกหนึ่งฉุกคิดขึ้นว่า เมื่อเราทุ่มเทให้กับคนคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาอยากได้รับหรือเปล่า สู้ไปให้เวลากับคนที่เขาต้องการดีกว่า
กิจกรรมแรกที่เขาได้ร่วมทำคือ ออกค่ายเรียนรู้วัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง ที่ จ.เพชรบุรี แต่ครั้งที่สกลรู้สึกประทับใจมากที่สุดคือ การไปเป็นจิตอาสาในโครงการเดินป่าด้วยหัวใจ ครั้งที่ 12 เมื่อปี 2558 จัดโดยกลุ่มเนเจอร์ แคมป์
อาสาฯ นำเด็กพิการและอาสาสมัคร ไปสร้างแรงบันดาลใจที่ภูกระดึง ครั้งที่ 3 มีผู้ร่วมกิจกรรม ได้แก่ เด็กพิการทางแขนขา จากโรงเรียนศรีสังวาลย์ขอนแก่น 12 คน เด็กพิการทางสายตา จากโรงเรียนการศึกษาคนตาบอด ขอนแก่น 12 คน คุณครูอาจารย์ของแต่ละโรงเรียน 8 คน อาสาสมัครจากหลากหลายอาชีพ 40 คน
“การทำกิจกรรมแต่ละครั้งมีเสน่ห์แตกต่างกัน แต่ผมชอบไปภูกระดึงเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว ไปกับกลุ่มเนเจอร์ แคมป์ มีเหตุการณ์ประทับใจคือ มีเช้าหนึ่งตื่นขึ้นมา มีพี่จิตอาสา 2 คนพาน้องเข้าห้องน้ำ แล้วผมตื่นพอดี ผมเลยไปช่วยเขา ปรากฏมีน้องตาบอดมาถามว่า พี่รู้สึกอย่างไรบ้างครับ สำหรับผมนะผมรู้สึกดีประทับใจมากๆ ที่ได้มาที่ค่ายครั้งนี้ พอน้องตอบมันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ที่พาน้องขึ้นไปบนภูได้
แม้น้องพิการแขนขา มีตาบอดสนิทแต่ก็ยังสามารถปีนขึ้นไปได้ เขาเก่งมาก แล้วก็เกิดความประทับอยู่ในใจน้องๆ คือ เขาเกิดความภูมิใจในตัวเองที่ครั้งหนึ่งเขาได้ขึ้นภูกระดึง น้องๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติและน้ำใจของพี่ๆ อาสา แม้ผมเดินป่าไม่เก่งแต่เราช่วยๆ กัน น้องคนหนึ่งมีพี่ๆ ช่วย 6 คน เราสอนให้น้องรู้จักสัมผัสต้นไม้ มีพี่คอยบรรยายตลอด พวกเราพี่ๆ อยากให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้มาก เพื่อเขาจะได้เกิดความภูมิใจในตัวเอง”
สิ่งที่ทำให้ชายเป็นจิตอาสาจนถึงปัจจุบัน แม้หน้าที่การงานจะยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากรู้จักแบ่งเวลาก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะการร่วมกลุ่มทำความดี ทำให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ พบมิตรภาพต่างสายพันธุ์ที่ไม่ต้องจมปลักกับสิ่งเก่า กลุ่มจิตอาสาที่สกลชอบเข้าไปร่วม ได้แก่ กลุ่มโรงบ่มอารมณ์สุข อาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อม กลุ่มเนเจอร์ แคมป์ เป็นต้น เฉลี่ยแล้วสกลจะไปร่วมทำความดีเดือนละ 1-2 ครั้ง
แม้เขาเป็นคนยะลาที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ นาน 20 ปีแล้ว สกลบอกถึงเสน่ห์กรุงเทพฯ ก็คือ เป็นเมืองที่เปิดโอกาสให้เราทำอะไรได้มากมายมากกว่าตอนอยู่ต่างจังหวัด
“ที่นี่ยังเป็นแหล่งความรู้ มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปศึกษาและชมความงดงามมากมาย มีงานจิตอาสาทำงานกันเป็นกลุ่มก้อนที่จริงจัง แม้กรุงเทพฯ จะเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายแต่เขาไม่มองว่าเป็นข้อเสีย เพราะทุกจังหวัดก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน แต่เราสามารถมีน้ำใจและแล้งน้ำใจได้ทุกที่
ผมตั้งใจจะทำงานจิตอาสาไปเรื่อยๆ เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม จริงๆ แล้วเราสามารถมีจิตอาสาได้ทุกที่ แค่เดินไปเห็นขยะบนทางเท้าแล้วเก็บใส่ถังขยะก็เท่ากับทำงานจิตอาสาแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปออกค่าย แต่เราสามารถทำได้รอบตัว ทุกวันนี้ผมเดินเข้าซอย ผมก็มีขนมแมวไว้ใส่กระเป๋า ไปที่ทำงานเห็นแมวจรก็เอาขนมให้เขา พอให้อาหารแมว แมวมองหน้าผม ผมไม่สนใจว่าเขาจะจำผมได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เมื่อผมได้ทำ ก็เกิดความสุขแล้วครับ”