posttoday

วีระชัย นิชาภัทร นักบริหารผู้ใฝ่หาวิถีสโลว์ไลฟ์

22 เมษายน 2561

ผู้บริหารหนุ่มวัย 44 ปี วีระชัย นิชาภัทร รั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัท Musketeers Event

โดย ภาดนุ

ผู้บริหารหนุ่มวัย 44 ปี วีระชัย นิชาภัทร รั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัท Musketeers Event ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับให้บริการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ มากว่า 15 ปี นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัท Promotions and Coupon โดยรั้งตำแหน่ง Business Development ซึ่งบริษัทนี้ทําธุรกิจเกี่ยวกับ E-commerce/Affiliate Marketing ภายใต้เว็บไซต์ที่ชื่อว่า www.promotions.co.th โดยขายสินค้าให้กับเว็บไซต์ลาซาด้า (Lazada) และอีกมากมายซึ่งเปิดมาได้ 5 ปีแล้ว

“นอกจากบริหารงานในบริษัททั้งสองแห่งที่เกริ่นไปแล้ว ปัจจุบันผมยังเป็นหุ้นส่วนของร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Shintaro ร้านอาหารแนวปิ้งย่างที่ชื่อ Smoke รวมทั้งร้านกาแฟที่ชื่อ Dolce’ Socialize Cafe ด้วย ซึ่งทั้ง 3 ร้านนี้อยู่ในซอยพระรามเก้า 49 ล่าสุดผมยังเป็นหุ้นส่วนในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางจากเกาหลีที่ชื่อแบรนด์ Yadah ด้วย โดยจะเริ่มขายบนออนไลน์ในเดือน พ.ค.นี้

ปกติใน 1 สัปดาห์ ผมจะทำงานเกือบ 7 วัน ทั้งประชุม ทั้งคุยธุรกิจกับลูกค้า และอื่นๆ แค่นี้ชีวิตก็แทบไม่มีเวลาว่างแล้วครับ (หัวเราะ) ดังนั้นวิธีการที่จะทำให้ตัวเองเข้าไปสัมผัสกับวิถีสโลว์ไลฟ์ได้ก็คือ ต้องเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้ามีเวลาว่างปั๊บผมจะไปออกกำลังกาย เช่น เตะฟุตบอล วิ่ง และขี่จักรยาน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เวลาตรงนั้นทำอะไร ถ้าเตะฟุตบอลก็จะเป็นวันอังคารกับวันอาทิตย์ ส่วนขี่จักรยานถ้ามีเพื่อนๆ ชวนไปขี่เป็นแก๊งที่เขาใหญ่ ถ้าว่างผมก็จะไปด้วย ที่ผ่านมาก็เคยไปปั่นจักรยานกับกลุ่ม Bike Finder มาด้วย แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ผมก็จะขี่จักรยานรอบหมู่บ้านที่ตัวเองอยู่ เพราะมีถนนที่สามารถขี่จักรยานได้”

วีระชัย นิชาภัทร นักบริหารผู้ใฝ่หาวิถีสโลว์ไลฟ์

วีระชัย บอกว่า นอกจากกิจกรรมยามว่างเหล่านี้แล้ว เขายังมีกิจกรรมที่สามารถนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือการถ่ายรูป ซึ่งเขาชอบถ่ายทั้งภาพวิว ภาพธรรมชาติสีเขียวๆ รวมทั้งภาพภูเขาและทะเลตามต่างจังหวัดในเมืองไทย บางครั้งก็ถ่ายรูปวิวตอนไปเดินทางท่องเที่ยวที่ต่างประเทศด้วย

“โดยส่วนตัวแล้วผมตั้งใจไว้เลยว่า นอกเหนือจากการทำงานในเมืองแล้ว ถ้ามีเวลาได้พักผ่อนเมื่อไร ผมจะพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นเสมือนแรงบันดาลใจที่สร้างพลังในการทำงานให้กับตัวเอง ก่อนหน้านั้นตอนที่ผมยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมซึ่งมีพื้นที่เยอะหน่อย ช่วงนั้นผมจะปลูกกล้วย ต้นปีบ ดอกแก้ว ต้นสักทอง และไม้มงคล เนื่องจากผมชอบธรรมชาติสีเขียวๆ อยู่แล้ว ชอบเที่ยวภูเขา เที่ยวน้ำตก แต่ทะเลก็ชอบนะ ผมว่าการที่เราได้ไปพักผ่อนในสถานที่ที่มีบรรยากาศสวยๆ มันช่วยให้เราผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้จริง

แต่ถ้าไม่สามารถแบ่งเวลาไปเที่ยวพักผ่อนได้จริงๆ ผมก็จะเลือกไปทำบุญที่วัด ไปนั่งสมาธิ นอกจากนี้ยังทำอาหารกินเองด้วย ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย เช่น ผัดกะเพรา แกงจืด แกงเขียวหวาน ฯลฯ ผมว่าในวันหยุดถ้าเราได้อยู่บ้านและทำอาหารกินเอง มันเป็นการช่วยฝึกสมาธิให้เราได้อย่างหนึ่ง เพราะเวลาทำอาหารเราต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตถุดิบ และเตรียมขั้นตอนในการปรุง ซึ่งนอกจากช่วยให้จิตเป็นสมาธิแล้ว ผมยังรู้สึกมีความสุขไปกับการทำอาหารด้วย”

วีระชัย นิชาภัทร นักบริหารผู้ใฝ่หาวิถีสโลว์ไลฟ์

วีระชัย เล่าว่า หลังจากอยู่บ้านเดี่ยวย่านดอนเมืองซึ่งมีพื้นที่ปลูกต้นไม้มาได้ 5 ปี ตอนนี้เขาจำเป็นต้องย้ายมาอยู่คอนโดในเมือง เพราะมีภาระหน้าที่ในเรื่องงานมากขึ้น ดังนั้นการพักอยู่ในเมืองจึงเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด

“แต่พอย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโดจริงๆ ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเริ่มกลับไปวุ่นวายอีกครั้ง เลยทำให้ผมอยากกลับไปสู่วิถีสโลว์ไลฟ์อีกครั้ง ผมจึงหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตเร่งรีบน้อยลง สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ การหันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือการว่ายน้ำในคอนโด บางครั้งผมก็เล่นดนตรีโดยเล่นกีตาร์เป็นงานอดิเรก และผ่อนคลายด้วยการร้องเพลงก็มีความสุขได้แล้ว

สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือการไปปั่นจักรยานที่เขาใหญ่กับกลุ่ม Bike Finder แรกๆ ผมก็ไปร่วมทริปปั่นจักรยานกับกลุ่มปีละ 2-3 ครั้ง แต่ปัจจุบันเมื่องานเยอะขึ้น มีบริษัทให้เข้าไปดูแลบริหารจัดการมากขึ้น ผมจึงไปร่วมทริปได้แค่ปีละครั้ง แต่ก็ยังเจอเพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างหมอล็อต (นสพ.ภัทรพล มณีอ่อน) ซึ่งเพื่อนๆ ในกลุ่ม Bike Finder ทุกคนก็จะเชื่อมโยงถึงกันอยู่ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปร่วมปั่นจักรยานกับกลุ่ม หมอล็อตก็จะเป็นผู้นำในการไปทำโป่งดินให้ช้างที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เรียกว่าขี่จักรยานขึ้นเขาใหญ่กันครึ่งวันเลย แถมยังได้เดินป่ากันอีกด้วย”

วีระชัย นิชาภัทร นักบริหารผู้ใฝ่หาวิถีสโลว์ไลฟ์

วีระชัย เสริมว่า ในอนาคตอันใกล้ (ไม่เกิน 2 ปี) เจ้าตัวคิดว่าน่าจะกลับไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นบ้านเดี่ยวเหมือนเดิม โดยตั้งใจจะกลับไปปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ผล และเลี้ยงสุนัขเหมือนเดิม เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้จังหวะในการใช้ชีวิตของเขาช้าลงและไม่ต้องเร่งรีบมากนัก

“ก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปร่วมอบรมและสังเกตการณ์ในกิจกรรมการสร้างบ้านดินมาบ้าง จำได้ว่าตอนนั้นคนจัดกิจกรรมได้เชิญคนในสาขาอาชีพต่างๆ มาพูดถึงบ้านดินร่วมกัน ตอนนั้นก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการสร้างบ้านดินคืออะไร ให้ผลดีอย่างไรบ้าง หรือเป็นที่อยู่อาศัยที่มนุษย์เราอยู่ได้อย่างดีเลยนะ อยู่แล้วเย็น ไม่ร้อน เรียกว่าถ้ามีเรื่องที่น่าสนใจที่ทำให้ใกล้ชิดธรรมชาติได้ เพื่อนๆ ก็จะชักชวนให้ผมไปร่วมกิจกรรมเสมอ

อย่างศูนย์กสิกรรมธรรมชาติของ อ.ยักษ์-ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกษตรกรรมมันเป็นพื้นฐานของคนในสังคมไทยเรามาช้านาน ในอนาคตถ้าผมพร้อมก็น่าจะหาซื้อที่ดินเพื่อเตรียมไว้ปลูกพืชด้วยเช่นกัน ผมว่ามนุษย์เราห่างไกลธรรมชาติและทำลายธรรมชาติกันมากเกินไป ต่อไปหากไม่มีธรรมชาติให้กลับไปหา ผมว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ เลย ล่าสุดใครที่อยากเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์และเรียนรู้ศาสตร์พระราชา สำหรับคนเมืองสามารถไปเรียนรู้ได้ที่ ‘ฐานธรรม พระราม 9’ (อยู่ที่ซอยพระรามเก้า 17) ซึ่งตอนนี้ได้เปิดให้คนทั่วไปสามารถมาเรียนรู้ได้แล้วครับ”

วีระชัย นิชาภัทร นักบริหารผู้ใฝ่หาวิถีสโลว์ไลฟ์

วีระชัย ทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ที่ออฟฟิศของเขาซึ่งอยู่ย่านทาวน์อินทาวน์ ก็เป็นออฟฟิศสีเขียวที่มีต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียวเยอะพอสมควร เพราะอยากให้พนักงานทุกคนทำงานท่ามกลางความร่มรื่นและไม่เครียด ทุกคนจะได้มีไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ต่อไป

“ถ้าใครอยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ก่อนอื่นผมแนะนำให้มองหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้ได้เสียก่อน อย่างผมชอบการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานและรักการถ่ายรูป ผมก็จะนำทั้งสองอย่างนี้มาปรับเข้าด้วยกัน มันก็จะนำเราไปหาธรรมชาติได้ในที่สุด จากนั้นเราก็มองหากลุ่มเพื่อนๆ ที่ชอบทำกิจกรรมคล้ายๆ กับเรา แล้วไปเข้ากลุ่มกับพวกเขา เราก็จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามมาแน่นอน ทำให้เห็นโลกได้กว้างขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสิ่งดีๆ ที่เราสามารถนำเข้ามาใส่ตัวได้ และทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วย

วันหนึ่งหากผมไม่ได้ทำงานแล้ว ผมคิดไว้ว่าอาจจะไปหาซื้อที่ดินที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติทิ้งไว้สักผืน และอาจจะไปอาศัยหรือพักผ่อนเป็นครั้งคราว แต่ยังไงเราก็อาจจะยังใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เนื่องจากคุณแม่ของผมก็เป็นคนเมือง เราสองคนจึงอาจจะเคยชินกับการใช้วิถีชีวิตแบบคนเมืองอยู่บ้าง แต่ยังไงซะจิตใจของเราก็ยังคงใฝ่หาความร่มรื่นจากธรรมชาติอยู่เสมอครับ” ติดตามที่ FB : musketeersevent/ และ IG : veenie