posttoday

อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลมกล่อม ณัฐพล วรรณาภรณ์

15 เมษายน 2561

มิก-ณัฐพล วรรณาภรณ์ วัย 37 ปี คือ หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งชามเริญ สตูดิโอ ที่กรุงเทพฯ

โดย วราภรณ์  ภาพ : กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

มิก-ณัฐพล วรรณาภรณ์ วัย 37 ปี คือ หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งชามเริญ สตูดิโอ ที่กรุงเทพฯ ที่โด่งดังในหมู่คนชอบปั้น อดีตนักศึกษาภาควิชาเครื่องเคลือบดินเผา คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่ปัจจุบันมิกขอทิ้งชีวิตในกรุงเทพฯ กลับไปดูแลพ่อแม่ ที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมก่อตั้ง “ชามเริญ ซีเอนเอ็กซ์” หรือ “ชามเริญ เชียงใหม่” ไปมีวิถีชีวิตแสนเรียบง่าย สานฝันทำงานปั้นที่บ้านเกิด พร้อมใช้ความรู้และประสบการณ์ด้านสื่อโฆษณา โปรดักชั่นเฮาส์ และดีกรีปริญญาโทด้านมีเดียอาร์ต แอนด์ ดีไซน์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาสร้างสรรค์งานศิลปะ ด้วยการสร้างสตูดิโอกลางสวนเอาใจคนรักงานศิลปะที่อยากปลีกวิเวกตัวเอง การได้อยู่กับธรรมชาติ มิกบอกว่าทำให้ชีวิตของเขากลมกล่อมมากขึ้น ไม่เร็วไม่ช้าเกินไปในการดำเนินชีวิต

เปลี่ยนวิถีชีวิตคนเมืองสู่วิถีชนบท

อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลมกล่อม ณัฐพล วรรณาภรณ์

เมื่อวัย 35 ปี ณัฐพลเริ่มค้นหาวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เขาจึงตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ตั้งใจจะทำสตูดิโอและปลูกพืชผักในสวน หลังจากที่ใช้ชีวิตเรียนหนังสือระดับปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ แม้จะกลับมาเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านมีเดีย อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ คณะวิจิตรศิลป์ แต่ความเป็นวัยรุ่นที่เสาะแสวงหาและอยากลองงานหลายๆ แบบที่แตกต่างจากงานเซรามิกที่เขาร่ำเรียนมา ซึ่งในสมัยนั้นงานปั้นเซรามิกยังไม่เป็นที่นิยมของคนในการเสพความงามมากนัก หลังศึกษาจบปริญญาโทเขาจึงเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้งมาทำงานด้านมัลติมีเดีย อยู่เบื้องหลังงานโฆษณา ทำอยู่ 6 ปีเขาเกิดความคิดว่า อยากจะกลับไปทำงานเซรามิก จึงเริ่มเปิดสตูดิโอ ชามเริญ ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 2 คน ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากผู้เรียนมาเข้าเวิร์กช็อปสร้างสรรค์งานเซรามิกเป็นจำนวนมาก

“ตอนทำงานที่กรุงเทพฯ ผมก็มีความสุขดี เหมือนกับเราได้สานฝันที่เก็บไว้ในใจทำให้เป็นจริงแล้วนะ แต่ทำได้ 5 ปี ความคิดเดิมๆ ที่ผมเคยวางแผนว่าจะทำงานปั้นที่กรุงเทพฯ ครบ 3 ปีแล้วจะกลับบ้าน ประกอบกับอยากกลับมาดูแลพ่อแม่ที่สันกำแพง หลังจากที่ผมเร่ร่อนในเมืองนานแล้ว ไม่ค่อยได้ดูแลพ่อแม่ ผมคิดว่าผมควรกลับบ้านได้แล้ว เพราะพ่อแม่ก็เริ่มแก่แล้ว ซึ่งตอนที่ผมทำงานกรุงเทพฯ พ่อได้ไปบวชพระ พอผมได้กลับบ้านก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อบ่อยขึ้น เพราะภาพที่ผมเห็นหลวงพ่อเริ่มชรามากแล้ว ถ้าหลวงพ่อบวชต่อจะดูแลท่านอย่างไร หลวงพ่อไม่สะดวกในการดูแลสุขภาพตัวเอง อีกอย่างหลวงพ่อเห็นผมเทียวไปเทียวมาระหว่างวัดกับบ้านได้ 1 ปี ท่านจึงสึกออกมาอยู่กับลูกและภรรยา ทำให้ผมได้ดูแลท่านเต็มที่”

สตูดิโอกลางสวนธรรมชาติ

อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลมกล่อม ณัฐพล วรรณาภรณ์

หนึ่งในความฝันของมิก คือ ทำบ้านพักพร้อมมีสตูดิโอสัก 3 หลัง ทำเสร็จไปแล้ว 2 หลัง เพื่อให้ศิลปินได้พักผ่อนและทำงานปั้นไปด้วย และเขาคิดว่าคงมีคนที่มีความคิดเหมือนเขา คือหาสถานที่ที่สงบเพื่อสร้างงานศิลปะ และเขาฝันว่าอยากจัดแสดงผลงานปีละครั้ง และอาจจัดเวิร์กช็อปสอนงานปั้นสลับไปบ้าง

“เวิร์กช็อปของผมที่เชียงใหม่อาจไม่เหมือนกับชามเริญ ที่กรุงเทพฯ เพราะผมทำคนเดียวและไม่มีผู้ช่วย จึงเปิดสอนไม่ได้ตลอดเวลา ผมกลับไปอยู่เชียงใหม่ได้ 2 ปีแล้ว ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางหลังจากต้องปรับตัว เหมือนกำลังต่อจิ๊กซอว์ทีละส่วน ภาพจึงค่อยๆ เต็ม ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจกับงานเพราะใกล้ความจริงเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องหยุดในการสร้างงานศิลปะซึ่งขัดใจผมมาก เพราะต้องรีบทำงานก่อสร้างก่อน ต้องวิ่งหาช่าง เวลาหมดไปกับกิจกรรมแบบนี้มา 2 ปีแล้ว ผมอยากทำสตูดิโอในสวน ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาปั้นเซรามิกในสวนที่เชียงใหม่ผมก็ยินดี ตอนนี้ผมยังคุยกับชามเริญ ที่กรุงเทพฯ ปรึกษากันตลอดเรื่องทิศทางชามเริญ ที่เชียงใหม่ เรื่องทิศทางจะเดินไปทางไหน ที่นี่เหมือนเป็นสาขาที่ 2 ตอนนี้ปลูกเสร็จ 2 หลังแล้ว ”

นอกจากทำสตูดิโอในสวนแล้ว นิกอยากดึงการทำการเกษตรกรรม ปลูกต้นไม้ให้ผลไว้กินเอง เนื่องจากบ้านมีพื้นที่ การมีชีวิตที่ช้าๆ แล้ว ก็น่าจะเติมให้เต็มด้วยการทำเกษตรกรรมแบบเรือนกระจก  ปลูกผักปลอดสารพิษก็น่าจะดี

ซึ้งในรสพระธรรม

อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลมกล่อม ณัฐพล วรรณาภรณ์

นิกตัดสินใจบวชเรียนตอนกลับไปเชียงใหม่ใหม่ๆ เขาตัดสินใจบวช เนื่องจากก่อนหน้านั้น ขณะที่เขาสอนปั้นเซรามิกอยู่ที่กรุงเทพฯ เขาเคยได้เข้าร่วมฟังธรรมะตามแนวทางของท่านพระพุทธทาสภิกขุ ที่จัดขึ้นที่อุทยานสวนโมกข์กรุงเทพฯ สวนรถไฟ ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมะ ชีวิต และสัจธรรมของชีวิต เขาจึงตั้งใจมาตลอดว่าหากมีโอกาสจะบวชเรียนเพื่อศึกษาพระธรรม เมื่อกลับไปอยู่เชียงใหม่เขาจึงตัดสินใจบวชนาน 3 เดือน

“ที่ตัดสินใจบวชเพราะอยากทำอะไรให้พ่อแม่บ้าง ผมบวชที่วัดป่าดาราภิรมย์ แต่ไปจำวัดที่วัดป่าธรรมประทีป จ.เชียงใหม่ ที่วัดป่ามีการปฏิบัติหลายประเภทที่ถูกจริตกับผม ผมจึงเลือกบวชที่วัดป่า มีการทำวัตรเช้าเย็น การปฏิบัติท่านอาจารย์ให้ปฏิบัติด้วยตัวเอง ฝึกนั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนา ทำวัตร บิณฑบาต ช่วยงานถมถนนที่ทางวัดก่อสร้างไว้ ช่วยเขียนแบบบ้าง”

สิ่งที่ณัฐพลได้จากการศึกษาธรรมะ คือ ทำให้เขาได้เห็นความจริงของชีวิตบางมุม ทำให้เขามองสิ่งรอบข้างต่างไปจากเดิม เขามองอะไรละเอียดลึกซึ้งขึ้น อยากกตัญญูรู้คุณพ่อแม่

"ผมพยายามเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามากขึ้น ตอนอยู่วัดป่าคล้ายๆ กับการได้ไปปลีกวิเวก มีเวลาคิดทบทวน พิจารณาเกี่ยวกับตัวเอง ถามและดูใจตัวเอง ผมถามตัวเองหลายๆ รอบ ดูใจได้ละเอียดกว่าเดิม และทบทวนสิ่งที่กำลังเป็น ณ ตอนนั้น ซึ่งปกติผมไม่ค่อยได้ตามตัวเองทันเท่าไร พอสึกออกมาใช้ชีวิตปกติ การพิจารณาใจตัวเองผมยังสามารถใช้ได้อยู่ในชีวิตประจำวัน ความคิดตรงนั้นช่วยให้ผมทำอะไรรอบคอบขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นนักเรียน เป็นเด็กศิลปะที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ทำก็ทำ ไม่ทำก็ทิ้งเลย เฮฮาสนุกสนานกับเพื่อน ไม่ได้ละเอียดอ่อนต่อการใช้ชีวิตมากนัก”

ธรรมะจึงช่วยให้เขาใช้ชีวิตได้กลมกล่อมมากขึ้น การบวชจึงช่วยขัดเกลาความคิดและจิตใจ

“เมื่อก่อนเราเหมือนเป็นคนหยาบ แต่โดนขัดก็ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง ทำให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยลง (ยิ้ม) ทำให้พ่อแม่ไม่เป็นกังวลกับผมมาก สำหรับสตูดิสวนรวมทั้งบ้านพัก ตอนนี้ผมตัดสินใจทำให้เสร็จ 2 หลังก่อน แล้วค่อยๆ ทำต่อตามกำลังของตัวเอง ค่อยๆ ทำไป ผมคงจะสุขมากขึ้น หากได้ทำตามกำลังตัวเอง แม้จะมากกว่ากำลังหน่อยหนึ่ง แต่ต้องอยู่ในลิมิตที่ผมรับมือไหว”

ใช้ชีวิตเรียบง่ายที่เชียงใหม่

อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตกลมกล่อม ณัฐพล วรรณาภรณ์

นิยามการใช้ชีวิตของนิกในปัจจุบันคือใช้ชีวิตช้าๆ เร็วสลับกันไป โดยเขาต้องมองหาจุดสมดุลให้ได้ว่าเมื่อไหร่ควรเร็วและเมื่อไหร่ควรช้า เพราะเขายังอยู่ในวัยที่ต้องทำงาน ที่ต้องรีบเพราะต้องทำงานร่วมกันคนอื่น มีเดทไลน์เป็นตัวกำหนดจึงต้องทำให้เสร็จ

“ในการใช้ชีวิตผมไม่ค่อยเร่งรีบ ที่สำคัญพอได้อยู่ที่เชียงใหม่ ผมสามารถใช้ชีวิตช้าลงได้ เพราะไม่ต้องรีบไป แข่งกับใคร ตอนนี้ผมตื่นเวลา 07.30 น. ใช้ชีวิตประจำวันดื่มกาแฟ อาบน้ำ 08.30 น. ไปคุมงานช่างให้เรียบร้อย ขาดเหลืออะไรซื้อเพิ่มเติม หลัง 4 โมงเย็น บางวันไปกินข้าวกับแม่ที่บ้าน ค่ำๆ นั่งสะสางงาน และเข้านอนตอน 4 ทุ่ม”

ที่เชียงใหม่ มิกคิดว่าเขาสามารถทำชีวิตให้ช้าลงได้อีก 

“จริงๆ ผมเป็นคนชอบใช้ชีวิตช้าๆ อยู่แล้ว เพราะผมจะเสียเวลาไปกับการคิดทบทวนเยอะ บางทีผมอยากพักมาก ๆ จะก็หยุดทำทุกอย่าง แล้วอยู่นิ่งๆ ประมาณ 1-2 วัน นั่งนอนอ่านหนังสือเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ หรือไม่ก็ไปหาพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ทำงานปั้นเซรามิกเหมือนกัน ได้เจอรุ่นพี่รุ่นน้องดีๆ หลายคนผมสามารถขอคำปรึกษาได้ เขามักให้มุมมองใหม่ๆ กับผม

”นอกจากแนวคิดในการใช้ชีวิตให้ช้าลง งานปั้นก็ทำให้ชีวิตเขายิ่งพบกับโมเมนต์ที่สงบขึ้น เพราะขณะที่เขาได้ทำงานปั้น เหมือนเขาสามารถหยุดเวลาได้ เพราะดินต้องการเวลาที่จะเซตตัว แต่ถ้าช้าเกินไป ทำไม่ถูกจังหวะงานปั้นชิ้นนั้นก็พัง เช่นเดียวกับมนุษย์ก็ควรรู้เวลาที่เหมาะสมในการวงแผนทำอะไรสักอย่าง

“สรุปชีวิตผมตอนนี้ สุขสงบเปรียบเหมือนกำลังเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ตามที่ผมอยากเดิน มีความสุขในแบบของมัน มีเครียดบ้างแต่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ครับ”