posttoday

เดียว วรตั้งตระกูล รองซีอีโอผู้รักธรรมชาติ

18 มีนาคม 2561

ผู้บริหารหนุ่มวัย 48 ปี ที่ใบหน้าอ่อนกว่าวัย เดียว วรตั้งตระกูล ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Deputy CEO)

โดย ภาดนุ

ผู้บริหารหนุ่มวัย 48 ปี ที่ใบหน้าอ่อนกว่าวัย เดียว วรตั้งตระกูล ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Deputy CEO) ของสถานีโทรทัศน์ช่อง One HD 31 เป็นอีกหนึ่งคนที่มีใจรักธรรมชาติและมีความฝันว่าอยากจะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่บ้านเกิดในภาคอีสาน หลังจากเกษียณอายุจากการทำงานในเมืองกรุงแล้ว เราลองไปพูดคุยกับเขาถึงแนวความคิดนี้ดีกว่า ว่ามีที่มาอย่างไร

“ก่อนอื่นผมขออัพเดทการทำงานหรือหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบก่อนเลยนะครับ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ผมทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของสถานีช่องวันเอชดี 31 มีหน้าที่หลักในการดูแลบริหารงานภายในช่อง ทั้งเรื่องการออกอากาศ รวมทั้งเรื่องของรายการข่าวภายในช่องด้วย พูดง่ายๆ ก็คือช่องวัน เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มให้กับรายการหรือคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้าของเราอีกที

เดียว วรตั้งตระกูล รองซีอีโอผู้รักธรรมชาติ

ระยะเวลาที่ผมทำงานอยู่ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ปีนี้ก็เป็นปีที่ 9 แล้ว โดย 7 ปีแรกผมทำงานอยู่จีเอ็มเอ็มแซด จากนั้นผมก็ลาออกเพื่อไปหาประสบการณ์อยู่ 1 ปี แล้วก็กลับมาทำงานที่ช่องวันได้ 2 ปีแล้ว ดังนั้นโดยรวมแล้วผมจึงทำงานในเครือ
จีเอ็มเอ็มฯ มาได้ 9 ปีแล้วครับ และตอนนี้เรตติ้งของช่องวันก็ถือว่ากำลังไปได้ดีเลยละ”

เดียวบอกว่า นอกเวลาทำงาน ถ้าว่างเมื่อไหร่เขาจะมีแพสชั่นโดยชอบท่องเที่ยวผจญภัย ซึ่งเจ้าตัวตอบอย่างมั่นใจว่า กิจกรรมนี้เป็นเหมือนพิมพ์เขียวหรือรูปแบบไลฟ์สไตล์ของเขาที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว คือเป็นคนที่ชีพจรลงเท้าอยู่ตลอดเวลา

“เดิมทีแล้วผมเกิดที่ จ.นครพนม พอโตขึ้นก็มาเรียนที่ จ.ขอนแก่น ตามด้วย จ.ชลบุรี พอเริ่มทำงานก็บังเอิญได้ทำงานที่ต้องติดต่อหรือต้องเดินทางไปนู่นไปนี่อยู่ตลอดเวลา เลยยิ่งทำให้ผมชอบการเดินทางมาก แล้วผมยังชอบไปเที่ยวสถานที่แปลกๆ ตามต่างจังหวัด หรือไปเที่ยวยังสถานที่ที่มีวิถี ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์เป็นพิเศษ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมพูดกับเพื่อนๆ เลยว่า ผมมีสโลแกนในการท่องเที่ยวคือ มกราฯ พาแม่เที่ยว กุมภาฯ พาเพื่อนเที่ยว มีนาฯ พาแม่เที่ยว ฯลฯ โดยทุกๆ เดือนจะมีคอนเซ็ปต์ในการเดินทางแบบไม่ซ้ำกัน

เดียว วรตั้งตระกูล รองซีอีโอผู้รักธรรมชาติ

สำหรับคอนเช็ปต์ในการพาแม่เที่ยว ด้วยความที่เราออกมาเรียนหนังสือและทำงานตั้งแต่วัยรุ่น เรียกว่าแทบไม่ได้อยู่บ้านเลยละ พอเราเริ่มอยู่ในวัยที่มีเงิน มีความสะดวกสบายที่สามารถจะดูแลคุณแม่หรือพาท่านไปเที่ยวยังที่ต่างๆ ได้ก็ควรทำทันที เพราะพอนึกถึงตอนที่ท่านลำบากส่งเสียเราเรียนมา ท่านไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย เมื่อมีโอกาสผมก็เลยตอบแทนท่านในวัยที่ท่านเกษียณแล้ว (อายุ 74 ปี) โดยพาท่านไปเที่ยวด้วย เพราะปกติแล้วเราไปเที่ยวกันทุกเดือน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใด”

เดียวเสริมว่า คุณแม่ของเขาเพิ่งจะมีโอกาสได้เที่ยวเยอะก็ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากแม่ต้องดูแลคุณยาย อย่างเมื่อก่อนหลายคนอาจเคยได้ยินแคมเปญ “สิงหาฯ พาแม่เที่ยว” ซึ่งสำหรับเขาแล้วกลับคิดว่า ทำไมต้องพาแม่เที่ยวได้แค่สิงหาฯ เดือนเดียวล่ะ เดือนอื่นก็สามารถพาแม่เที่ยวได้ จึงเกิดเป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่เขามักจะพาแม่ไปเที่ยวทุกเดือน

“ช่วงหลังๆ นี้นอกจากพาแม่เที่ยวแล้ว ผมยังพาเพื่อนเที่ยวด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สนุกดี ได้ไปเที่ยวทุกเดือนตลอดทั้งปี จะใกล้จะไกลผมไปหมด ถ้าเป็นจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ ก็จะไปเช้า-เย็นกลับ แต่ถ้าไปต่างประเทศ บางครั้งก็ไปกับทัวร์ หรือไปกับหมู่คณะที่เราคุ้นเคย เช่น กำแพงเมืองจีน จางเจียเจี้ย เป็นต้น คือผมอยากให้คุณแม่ได้

เดินออกกำลังกายอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าต่อไปเดี๋ยวท่านจะเดินไม่ไหว

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในระยะหลังๆ ที่ผมชอบนั้น มันมีจุดเปลี่ยนตรงที่ผมได้ไปลงเรียนหลักสูตร EDP (Executive Development Program) ที่ตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้น ซึ่งคอร์สนี้ได้พาผู้เรียนไปดูงานในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ จ.สกลนคร แล้วผมเองเป็นชาว จ.นครพนม คือเป็นคนอีสานที่ทราบมาตลอดว่าภูมิประเทศในแถบบ้านเรามันแห้งแล้งมาก

เดียว วรตั้งตระกูล รองซีอีโอผู้รักธรรมชาติ

แต่พอได้ไปดูงานในโครงการพระราชดำริฯ ที่พระองค์ท่านคิดขึ้นเพื่อช่วยชาวบ้าน แล้วพื้นที่ในแถบนั้นกลับกลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา และผมยังพบว่าชาวบ้านในพื้นที่นั้นส่วนใหญ่มีไอเดียและมีฝีมือที่ดี ขาดแต่เพียงการกระตุ้นหรือการส่งเสริมเท่านั้น ก็เลยทำให้ผมรู้สึกชอบที่จะไปท่องเที่ยวในเชิงเกษตรมากยิ่งขึ้น”

ผู้บริหารหนุ่มเล่าว่า จากการได้ไปเที่ยวในเชิงเกษตร รวมทั้งได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ศิวิไลซ์มา วันหนึ่งเขาก็กลับมานั่งคิดว่า ความจริงแล้วตัวเองชอบท่องเที่ยวสไตล์ไหนมากกว่ากัน

“คำตอบที่ผมได้ก็คือ ผมชอบท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ ชอบความเรียบง่าย และชอบวิถีชีวิตแบบพอเพียงของเกษตรกรมากกว่า ผมจึงกลับมานั่งคิดว่า จากเดิมเป้าหมายที่ผมคิดไว้ว่าจะปักหลักอยู่กรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มมาคิดได้ว่า คุณแม่และญาติพี่น้องของเราก็อยู่ต่างจังหวัด อีกอย่างตอนนี้คนก็เริ่มพูดถึง จ.นครพนม ว่ามีสถานที่น่าเที่ยวเยอะมาก เวลาที่ผมพาเพื่อนไปเที่ยว เพื่อนๆ ก็ยังบอกว่าชอบเลย

ทำให้ผมมานั่งคิดว่า เอ๊ะ! หรือชีวิตในบั้นปลายเราควรจะกลับไปอยู่ที่นครพนมดีนะ เมื่อตกผลึกกับความคิดแล้วผมก็เริ่มไปหาซื้อที่ดินบริเวณแถบริมแม่น้ำโขงไว้ ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ติดแม่น้ำเลย จึงมีวิวที่สวยมาก ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงวัยเด็กก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับแม่น้ำ เพราะคุณยายและคุณแม่ก็เคยทำเกษตร ปลูกผัก ปลูกถั่ว ปลูกมันแกว ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเลย แต่พอได้กลับไปบ้านในช่วงหลังๆ ผมรู้สึกชอบมาก เพราะเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสถานที่ก็สวยงามน่าอยู่ดี

ยิ่ง จ.นครพนม เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วยแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าในอนาคตคนไทยสามารถจะข้ามไปทำธุรกิจในประเทศแถบอินโดจีนได้เลย เป็นสิ่งที่น่าคิดต่อยอดต่อไป ผมจึงหาซื้อที่ดินติดริมแม่น้ำโขงไว้ 2 ไร่ ตอนนี้ก็เริ่มปรับพื้นที่ ถมที่ ขุดสระ และเตรียมที่จะปลูกต้นไม้แล้ว คาดว่าภายใน 5 ปีน่าจะเป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์เลยละ”

เดียว วรตั้งตระกูล รองซีอีโอผู้รักธรรมชาติ

เดียวเสริมว่า หากมีเวลาเขาจะไปเข้าคอร์สอบรมทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงกับ อาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ซึ่งก็ยังไม่ว่างสักที แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้เริ่มต้นกับสิ่งที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้อยากมีพื้นที่ทำเกษตรขึ้นมา

“ผมว่าวิถีชีวิตเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนไทยอย่างเรา คุณตาคุณยายผมก็เป็นชาวนามาก่อน ตอนเด็กๆ ผมก็เคยไปดำนาเกี่ยวข้าว ซึ่งเหล่านี้เป็นวิถีชีวิตที่เราเคยสัมผัสและฝังอยู่ในความทรงจำเราอยู่แล้ว จะพูดว่าเป็นความชอบส่วนตัวของผมก็ได้

ดังนั้น ผมจึงคิดว่าหากงานที่ทำอยู่เข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ ก็อาจจะหาเวลาไปเพิ่มเติมทักษะและความรู้ทางด้านเกษตรจากผู้รู้ เพื่อให้ผมสามารถนำไปต่อยอดและช่วยเผยแพร่ต่อให้กับชาวบ้านแถบนั้นด้วย ก็หวังว่าอีก 5 ปีผมจะได้กลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้อย่างเต็มที่ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้น ผมจะต้องทิ้งงานในวงการนี้ไปเลยหรือเปล่า ผมก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ในเมื่อเรามีเป้าหมายชีวิตในบั้นปลายในแบบสโลว์ไลฟ์ที่เราต้องการ มันก็ควรจะเป็นชีวิตที่สงบๆ แบบนั้นมากกว่า”

เดียวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันเขาทำงานจันทร์-ศุกร์ แต่ก็จะบาลานซ์การทำงานและการใช้ชีวิตให้ลงตัว ตอนนี้หน้าที่สำคัญของเขาก็คือ ต้องสร้างคนรุ่นใหม่ให้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยให้การสนับสนุนพวกเขา และใช้ประสบการณ์ของตัวเองมาช่วยแนะนำด้วย ปัจจุบันก็ถือว่าเขาบาลานซ์ชีวิตได้น่าพอใจทีเดียว ว่างๆ ก็จะขับรถไปตามจังหวัดใกล้ๆ ไปจอดรถชมทุ่งนาแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

“ผมว่าคนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต พวกเขาก็จะรู้ถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเองครับ เป็นธรรมดาเมื่ออยู่ในวัยที่กำลังแสวงหาหรือกำลังค้นหาตัวตน พวกเขาก็ต้องออกไปพบเจอกับประสบการณ์ต่างๆ ก่อน บางคนอาจจะเลือกทางที่เจริญเติบโตในเรื่องหน้าที่การงาน แต่สำหรับตัวผมกลับพบว่า การได้ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มันช่วยให้ผมได้ดูแลแม่อย่างเต็มที่ หรือได้พาแม่ไปเที่ยวบ่อยๆ ได้ใช้เวลาที่มีค่าด้วยกัน ซึ่งเมื่อน้องๆ หรือคนอื่นๆ ที่ติดตามผมจาก IG : mddeaw นำไปปฏิบัติตาม นั่นถือเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเป็นที่สุดเลยละครับ”